pdf pic

บทที่ 4

 

ch1 1

 

พระเจ้าในพระคริสต์

 

 

     บทนี้เราจะพิจารณาต่อในหัวข้อของการเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์  ถ้าเราอยากจะมีส่วนร่วมในการประกาศอีซา[1](ชื่อโครงการของคริสตจักรที่จะประกาศพระกิตติคุณกับชนมุสลิม) เราจำเป็นต้องสังคายนารากฐานพระคัมภีร์ของเราและมีความเข้าใจที่ชัดเจนและมั่นใจกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวผมพยายามย่อเนื้อหาทั้งหมดของการเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ให้กระชับ แน่นด้วยเนื้อหาสำคัญและกระจ่างชัดที่แม้แต่เด็กก็สามารถเข้าใจประเด็นพื้นฐานนี้ได้  ผมจะแสดงให้เห็นโดยที่ไม่ต้องเป็นนักวิชาการก็เข้าใจเรื่องนี้ได้

     ผมได้ใช้เวลาปีกว่ามานี้ศึกษาพระคัมภีร์ทุกตอนที่เกี่ยวข้องกัน และถ้าจะเขียนให้ครบถ้วนก็คือได้รวบรวมงานแบบวิชาการมากที่เกี่ยวเนื่องกับภาษากรีกและภาษาฮีบรูซึ่งผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมาจะเข้าใจได้ยาก ผมจึงได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเพื่อหาวิธีที่จะนำเสนอความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ให้ง่ายๆ ที่แม้แต่คนโง่เขลาก็ไม่สับสนโดยจะใช้การเปรียบเทียบของพระคัมภีร์เดิม

ความสับสนกับพระนามของพระเจ้า

       ในสามบทที่ผ่านมา เราเห็นว่าพระนามของพระเจ้าในพระคัมภีร์ก็คือ “ยาห์เวห์”  ยาห์เวห์ถูกแปลในพระคัมภีร์ภาษาจีนว่า “เยโฮวาห์” (เยเหอหัว)[2]ชื่อที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์และแม้แต่ในคริสตจักรจนเมื่อไม่กี่ศตวรรษมานี้เอง เนื่องจากคำว่าเยโฮวาห์ไม่ใช่คำที่ถูกต้องและตรงตามพระคัมภีร์เราจึงต้องหาคำทับศัพท์ที่ถูกต้องของ “ยาห์เวห์”  ตอนนี้เราสามารถจะทับศัพท์ยาห์เวห์ในภาษาจีนไปก่อนว่า “ย่าเหว่ย”[3](亚伟)จนกว่าเราจะพบทางเลือกที่ดีกว่านี้  คำนี้ประกอบด้วยอักษร  ” (ในคำ亚洲[4])และ “” (ในคำ伟大[5])

     ผู้อ่านภาษาจีนจะคุ้นกับ “เยเหอหัว” (เยโฮวาห์)  แต่เราต้องการคำที่ใกล้เคียงกับการออกเสียงในต้นฉบับภาษาฮีบรู ที่สำคัญกว่านั้นก็เพราะคริสเตียนโดยทั่วไปไม่รู้ว่าพระนามของพระเจ้าคืออะไร    ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวถึงพระเจ้าว่า “Lord” (องค์ผู้เป็นเจ้า)[6]ปัญหาใหญ่ของการแปลคำว่า  “ยาห์เวห์” เป็น “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord ตามที่ระบุไว้ในพจนานุกรมศาสนศาสตร์พระคัมภีร์เดิมก็คือ “องค์ผู้เป็นเจ้า” ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นคำเรียก เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เป็นการแปลหรือเป็นการทับศัพท์คำว่า “ยาห์เวห์” ซึ่งเป็นผลให้ไม่มีการเรียกพระเจ้าโดยใช้ชื่อของพระองค์อีกต่อไปแต่ใช้เป็นคำเรียก และแม้แต่คำเรียกนี้ก็สับสน  เพราะพระเยซูเองก็ถูกเรียกว่าองค์ผู้เป็นเจ้า (Lordในพระคัมภีร์ใหม่ด้วย

     แม้ว่าชื่อ “ยาห์เวห์” จะเด่นจนเป็นที่สะดุดตาในพระคัมภีร์เดิม แต่ก็ได้ถูกลบออกไปจากพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษและฉบับภาษาจีนคำ “ผู้เป็นเจ้า” (Lordเป็นคำเรียกที่คลุมเครือซึ่งใช้กับหลายคน เราเรียกพระยาห์เวห์ว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า”(Lord เราเรียกก็พระเยซูว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord) และเราเรียกบุคคลที่มีอำนาจว่า “ผู้เป็นเจ้านาย”(Lordสิ่งนี้ได้สร้างความสับสนให้กับความหมายของคำว่า “Lord” (ปัจจุบันพระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับมาตรฐาน2011แปลพระนามของพระเจ้าว่า “พระยาห์เวห์”ตามต้นฉบับภาษาฮีบรู)[7]

ใจความสำคัญของบทก่อน

     บทนี้เราจะพิจารณาถึงองค์พระเยซูแต่จะขอสรุปจุดสำคัญในสามบทที่ผ่านมาก่อนหน้านี้  ในบทแรกเราพิจารณาถึงองค์พระยาห์เวห์ผู้เป็นพระเจ้าของพระคัมภีร์เดิมและได้เห็นว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยพระเจ้าทรงห่วงใยโลกอย่างมากและทรงมีส่วนอย่างใกล้ชิดพระองค์ทรงห่วงใยมนุษย์จนถึงขนาดทำเสื้อผ้าให้อาดัมกับเอวาสวมใส่หลังจากที่พวกเขาทำบาป  เสื้อผ้านั้นทำจากหนังของสัตว์ซึ่งหมายถึงว่าพระเจ้าจะต้องฆ่าสัตว์และถลกหนังของสัตว์เหล่านั้น  หรือพูดในอีกแง่ว่าพระเจ้าได้ทำหน้าที่ของปุโรหิตอย่างดี (ด้วยจุดประสงค์เพื่อลบมลทินบาป) ก่อนที่พระองค์จะจัดตั้งงานรับใช้ของปุโรหิตและงานของพระวิหารในพระคัมภีร์เดิม

     พระยาห์เวห์ไม่ได้แค่ทรงแสดงความเอาใจใส่และแสดงความห่วงใยต่อเราเท่านั้นแต่ยังทรงกระตือรือร้นที่จะปรนนิบัติเราด้วย ซึ่งทำให้เรานึกถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสถึงตัวพระองค์เองว่า “เหมือนบุตรมนุษย์ที่ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ  แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น” (มัทธิว 20:28)  การคิดถึงพระเจ้าในแบบที่ว่านี้เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ  นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงทีเดียว  เพราะเรามักจะคิดถึงพระเจ้าว่าทรงอยู่ไกลลิบและสูงส่งอยู่ในฟ้าสวรรค์  พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และสถิตอยู่เหนือจักรวาลจริง  ตอนที่มอบถวายพระวิหาร ซาโลมอนได้อธิษฐานว่า “แต่พระเจ้าจะประทับในโลกนี้จริงๆหรือ? ในเมื่อฟ้าสวรรค์สูงสุดยังไม่อาจรับพระองค์ไว้ได้พระวิหารแห่งนี้ซึ่งข้าพระองค์สร้างขึ้นจะยิ่งเล็กกว่านั้นสักเท่าใด![8] (พงศ์กษัตริย์ 8:27 ฉบับNIV)พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และอยู่ไกลแต่พระองค์ก็ยังสถิตอยู่ใกล้ด้วยและสถิตอยู่ใกล้เป็นพิเศษ พระองค์เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ทรงเดินอยู่ในสวนที่จะพูดคุยกับอาดัมและเอวา พระองค์ตรัสกับโมเสสแบบสองต่อสอง[9](อพยพ 33:11)

     เมื่อโมเสสเสียชีวิต พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงทิ้งร่างของเขาไว้บนภูเขาแต่ทรงฝังเขา  แม้แต่ชาวอิสราเอลเองก็ยอมรับยากว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ฝังโมเสสแม้ว่าความจริงในเรื่องนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ของพวกเขาเองก็ตาม  ดังนั้นพวกเขาจึงเสนอความคิดขึ้นมาว่าพระเจ้าทรงบัญชาให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ฝังโมเสส เพราะในโลกของมนุษย์นั้นบุคคลที่สำคัญในสังคมจะไม่ทำงานต่ำๆ  แต่ท่าทีของพระยาห์เวห์ไม่เป็นเช่นนั้น  เราจะพบท่าทีการรับใช้อย่างเดียวกันนี้ในพระเยซูเช่นกันที่ชีวิตของพระองค์แสดงให้เห็นถึงการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์ในพระองค์

ความเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์กับความเชื่อของคริสเตียน

     ในบทที่สองนั้น เราจะเห็นว่าพระยาห์เวห์เองได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่และมีผลกับทั้งโลก แต่ข้อความของพระคัมภีร์ใหม่ที่สำคัญนี้ได้ถูกขจัดให้หมดไปด้วยปรัชญากรีกและความคิดของชาวต่างชาติที่แพร่หลายในหมู่ผู้นำในคริสตจักรในยุคแรกๆ  คริสตจักรในยุคแรกๆมีความคิดและการผสมผสานที่เหมือนชาวต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งปลายศตวรรษที่สองและตอนต้นของศตวรรษที่สามก็ไม่มีผู้นำที่เป็นชาวอิสราเอลหลงเหลืออยู่ในคริสตจักร ผู้นำทั้งหลายในคริสตจักรแทบจะมีเฉพาะแต่ผู้ที่พูดภาษากรีก ศัพท์ของนักวิชาการก็คือ “การแยกทาง” ที่ชาวยิวและชาวต่างชาติแยกจากกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวกับการเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์ และท้ายที่สุดฝ่ายที่เชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์ก็มีชัยชนะในคริสตจักร

       ในบริบทนี้คำ “กรีก” ไม่ได้หมายถึงแต่คนเชื้อชาติกรีกเท่านั้นแต่ยังหมายถึงทุกคนที่พูดภาษากรีกด้วย คนส่วนใหญ่ในยุคของพระคัมภีร์ใหม่พูดภาษากรีกเป็นภาษากลางของยุคนั้นก็เหมือนกับที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของทั่วโลกในปัจจุบันนี้  ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาที่ใช้ในการค้า   วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในโลกสมัยปัจจุบัน คุณจะทำธุรกิจไม่ได้หากคุณพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เพราะคุณจะพบคนที่พูดภาษาอังกฤษในทุกประเทศ ภาษากรีกก็มีสถานะที่คล้ายกันในยุคของพระคัมภีร์ใหม่ ความคิดแบบกรีก ปรัชญาแบบกรีก วัฒนธรรมแบบกรีก และการศึกษาแบบกรีกได้ครอบงำความคิดของผู้คนในยุคนั้น  นั่นเป็นผลให้ความเชื่อว่าพระเจ้ามีหลายองค์ของกรีกมีอิทธิพลอย่างมากกับคริสตจักรและเป็นที่มาของการแยกทางกัน

     พระคัมภีร์ใหม่เริ่มถูกแปลความตามแนวความคิดว่าพระเจ้ามีหลายองค์ที่อำพรางว่าเป็นความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว  แต่การอำพรางนั้นตื้นๆเพราะว่าสามพระองค์ในความเชื่อตรีเอกานุภาพ(ที่แต่ละพระองค์เป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์) ไม่สามารถจะเป็นพระเจ้าองค์เดียวได้ไม่ว่าคุณจะอธิบายด้วยวิธีใดก็ตาม  หนทางเดียวที่จะบ่ายเบี่ยงเรื่องนี้ก็คือลดสภาพของพระเจ้าให้เป็นแก่นสารที่พระเจ้าทั้งสามพระองค์จะร่วมแก่นสารเดียวกัน  แต่ แก่นสาร” ไม่ใช่คำที่จะนำมาใช้กับพระเจ้า  เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่ แก่นสาร” แต่ทรงเป็นบุคคล  ถึงกระนั้นตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วพระเจ้ายังทรงเป็นแก่นสาร ความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ในลักษณะของสามพระองค์นี้ได้แพร่ไปในคริสตจักรต่างๆ และพรางตัวเองว่า “เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว” ในรูปของแก่นสารเดียว

     ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวแต่ในนาม ความจริงก็คือพวกเขาไม่เคยสะดวกใจกับความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวที่แท้จริงและแบบสมบูรณ์ ก่อนหน้านี้ผมให้ข้อมูลหนังสือเล่มหนึ่งที่มีข้อเขียนของกลุ่มนักวิชาการในหัวข้อความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ถึงแม้ว่าในนามแล้วนักวิชาการเหล่านี้แต่ละคนจะเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว พวกเขาก็ได้แสดงความเป็นปรปักษ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวที่แท้จริงเพราะมันไม่สอดคล้องกับ “การเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว” แบบตรีเอกานุภาพของพวกเขา

     ในบทที่สองนี้เราเห็นว่าเป็นพระยาห์เวห์ที่เสด็จเข้ามาในโลกความคิดนี้มีความสำคัญมากต่อชาวยิวและชาวกรีก นั่นเป็นเพราะในช่วงหลายศตวรรษชาวยิวค่อยๆมีความคิดว่าพระเจ้าทรงอยู่ไกล  ศาสนายิวในปัจจุบัน[10]เชื่อว่าพระเจ้าทรงอยู่ไกลโดยสมบูรณ์  ความคิดเรื่องที่พระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลกในองค์พระคริสต์คือการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เป็นเรื่องน่าตกใจและมีผลต่อโลกอย่างมาก

     ผู้ที่เสด็จเข้ามาในโลกสำหรับความเชื่อในตรีเอกานุภาพแล้วไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่เรียกว่าพระเจ้าพระบุตร  หลักคำสอนนี้น่าแปลกใจเพราะใครที่ศึกษาพระคัมภีร์เดิม ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่าในพระคัมภีร์เดิมไม่มีร่องรอยของพระเจ้าพระองค์ที่สองปรากฏอยู่เลย

     พจนานุกรมศาสนศาสตร์ของนิกายอีแวนเจลิคอล[11]ยังมีบทความที่ชื่อ “พระคริสต์ในพระคัมภีร์เดิม” หลักฐานเดียวที่สนับสนุนบทความนี้เป็นข้อโต้แย้งที่อัตคัด เช่น ใช้คำพหูพจน์ “เรา” ในปฐมกาล 1:26(“ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา”) เราได้พิจารณาข้อนี้แล้วและเห็นว่านักวิชาการพระคัมภีร์เดิมส่วนใหญ่ซึ่งรวมทั้งคีลและเดอลิซช์[12]ต่างไม่ยอมรับการตีความข้อนี้ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

     ในบทความดังกล่าวนี้ยังได้อ้างถึงคำ “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์” สามครั้งจากนิมิตของอิสยาห์          (อิสยาห์ 6:3ว่าเป็นหลักฐานที่แสดงถึงสามบุคคล นั่นเป็นข้อโต้แย้งที่สุดจะอัตคัด การอ้างเหตุผลให้กับหลักคำสอนของตรีเอกานุภาพด้วยหลักฐานแบบนี้ช่างเป็นคำพูดที่น่าเวทนาอย่างมาก เราไม่ต้องถึงกับเป็นนักวิชาการก็รู้ได้ว่าการพูดถึงสิ่งใดถึงสามครั้งก็คือการเน้นสามระดับที่แสดงถึงการเปรียบเทียบถึงขั้นสูงสุดเช่นเดียวกับคำว่า ดี ดีกว่า และดีที่สุด  คำว่า บริสุทธิ์” ครั้งที่สามเป็นการยกให้สูงขึ้นในระดับสูงสุด  จากบริสุทธิ์ ไปบริสุทธิ์มากและไปบริสุทธิ์ที่สุดและไม่เกี่ยวข้องใดๆกับสามบุคคล  พระคัมภีร์ไม่ได้พูดเป็นนัยแม้แต่น้อยหรือมีหลักฐานที่แสดงถึงบุคคลที่สองหรือที่สามที่เป็นพระเจ้าแต่อย่างใด

พระคัมภีร์

     ผมพูดถึงคำว่า “พระคัมภีร์”อย่างพิจารณาแล้ว  เพราะพระคัมภีร์เพียงเล่มเดียวที่อ้างถึงในพระคัมภีร์ใหม่ก็คือพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู ที่พวกเราคริสเตียนเรียกกันว่าพระคัมภีร์เดิม  คริสตจักรในยุคแรกนั้นยังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ จะมีก็แต่หนังสือคัมภีร์[13]ที่เรียกว่า “พระคัมภีร์” (the Scripture)[14]คุณคงสังเกตเห็นว่าเมื่อพระเยซูยกอ้างพระคัมภีร์ตอนที่พระองค์ผจญกับมารนั้น พระองค์ยกอ้างจากพระคัมภีร์เดิมเพียงอย่างเดียวโดยเฉพาะจากหมวดเบญจบรรณซึ่งเป็นหนังสือพระบัญญัติ  ในเวลานั้นยังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่เลยฉะนั้นพระเยซูจึงไม่มีอะไรจะยกอ้างได้จากพระคัมภีร์ใหม่

     ข้อบัญญัติของพระคัมภีร์ใหม่[15] ซึ่งเป็นการรวบรวมงานเขียนที่ได้การรับรองแล้วและคริสตจักรยอมรับที่เราเรียกว่าพระคัมภีร์ใหม่ในปัจจุบันนั้นไม่ได้มีการรวบรวมขึ้นจนกระทั่งถึงปลายศตวรรษที่สอง  ในศตวรรษที่หนึ่งคริสตจักรยังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ ดังนั้นคริสเตียนในยุคแรกๆจึงไม่สามารถจะอ้างอิงพระคัมภีร์ใหม่ได้เลย พวกเขามีเพียงแค่จดหมายไม่กี่ฉบับที่อัครทูตบางคนเขียนถึงพวกเขาโดยเฉพาะ  บางคริสตจักรมีจดหมายจากอัครทูตเปาโล  บางคริสตจักรมีจดหมายจากอัครทูตเปโตรเป็นต้น แต่ยังไม่ได้มีพระคัมภีร์ใหม่

     เราต้องจำไว้ว่า มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวอยู่จริงในคริสตจักรยุคพระคัมภีร์ใหม่    เราแน่ใจเรื่องนี้ได้เพราะคริสตจักรในยุคแรกไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ให้ต้องโต้แย้งเรื่องของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ

ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า

     ในบทที่สามผมได้เน้นย้ำว่าเราไม่ได้กำลังโต้แย้งเกี่ยวกับหลักคำสอนหรือหลักคำสอนในเชิงของความรู้  สิ่งที่เราควรคำนึงถึงเหนือสิ่งอื่นใดก็คือความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า  แต่ถ้าเรายึดหลักคำสอนที่ผิดเราก็จะมีปัญหาร้ายแรงหลายอย่างในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า

     มีบางสิ่งที่ทำให้ผมงุนงงอยู่หลายปีว่าทำไมคริสเตียนจำนวนมากจึงมีจิตวิญญาณอ่อนแอหรือแม้แต่ผู้ร่วมรับใช้?  ทำไมการติดต่อกับพระเจ้าจึงเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับพวกเขา  และทำไมความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าจึงเอียงไปทางที่แทบจะไม่มีเอาเสียเลย?  บางครั้งอาจมีความสัมพันธ์สนิทอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีเลย  เพราะดูเหมือนคำอธิษฐานของพวกเขาจะไม่ได้รับการตอบ  ผมงุนงงกับเรื่องนี้

     ผมสามารถเป็นพยานจากประสบการณ์มากมายในชีวิตของผมได้ถึงพระราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าแต่ผู้ร่วมรับใช้หลายคนแทบจะไม่มีอะไรมาแบ่งปัน ผมสงสัยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น    ทำไมพระเจ้าจึงเต็มพระทัยฟังคำอธิษฐานของผม?  พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของผมเพราะใจของผมจะเปลี่ยนมาตอบสนองกับการเปิดเผยของพระองค์ในภายหลังอย่างนั้นหรือ?  หรือจะเป็นเพราะในความเป็นจริงแล้วผมกำลังปฏิบัติตนเป็นผู้เชื่อแท้ในพระเจ้าเพียงองค์เดียวโดยไม่รู้ตัวอย่างนั้นหรือ?  แต่ผมคิดว่าผมเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวที่แย่มาก เพราะในการเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่ดีนั้นผมเห็นพระเยซูเป็นพระเจ้าของผม ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าของผมแล้วพระยาห์เวห์จะมาเป็นพระเจ้าของผมอีกได้อย่างไรในทางปฏิบัติจริง? เมื่อผมถามพวกคุณว่ามีกี่คนที่อธิษฐานกับพระบิดาก็ปรากฏว่ามีเพียงไม่กี่คนที่อธิษฐานกับพระบิดาแต่ทุกคนจะอธิษฐานกับพระเยซู  และเมื่อผมถามว่ามีสักกี่คนที่อธิษฐานด้วยพระนามของพระยาห์เวห์ ก็ไม่มีใครยกมือสักคน     

       ถ้าผมถามคุณว่าพระยาห์เวห์เป็นใคร คุณอาจตอบว่า “พระองค์เป็นพระบิดา” แต่ปัญหาตรงนี้ก็คือ พระยาห์เวห์อาจเป็นหรืออาจไม่เป็นพระบิดาอย่างที่คุณหมายถึงทำไมผมจึงพูดอย่างนั้น?  ที่พูดอย่างนั้นก็เพราะว่าพระยาห์เวห์ในพระคัมภีร์เดิมไม่ใช่หนึ่งในสามบุคคลเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4 กล่าวว่าพระยาห์เวห์เป็นพระยาห์เวห์เดียว  แม้แต่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพก็ไม่โต้แย้งความจริงที่ว่ามีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เรียกว่าพระยาห์เวห์ แต่ถ้าคุณทำให้พระยาห์เวห์เป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพเราจะยังคงพูดถึงพระยาห์เวห์อยู่ไหม? เท่าที่พระคัมภีร์เดิมเปิดเผยไว้นั้นพระยาห์เวห์ไม่เคยเป็นส่วนของตรีเอกานุภาพ

     พระบิดาตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพนั้นคือใคร? เรารู้ว่าสำหรับพระเยซูแล้วใครคือพระบิดา     เมื่อใดก็ตามที่พระเยซูตรัสถึง “พระบิดา” พระองค์จะหมายถึงพระยาห์เวห์เสมอ พระองค์ทรงสอนว่ามีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดาของพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสอย่างชัดเจนและเจาะจงในยอห์น 17:3ที่เราทราบกันว่าเป็นคำอธิษฐานของมหาปุโรหิต

     ในการตอบโต้กับธรรมาจารย์ต่อหน้าคนทั้งหลายนั้นพระเยซูทรงอ้างถึงเฉลยธรรมบัญญัติ 6:4อย่างเจาะจงว่า  “โอคนอิสราเอลจงฟังเถิดพระยาห์เวห์  พระยาห์เวห์เท่านั้นทรงเป็นพระเจ้าของเรา”พระยาห์เวห์เดียว พระยาห์เวห์เท่านั้นเป็นพระเจ้า  หลังจากนั้นพระองค์ทรงอ้างถึงพระคัมภีร์ข้อถัดมาคือเฉลยธรรมบัญญัติ6:5 “ท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลังของท่าน”  แต่คุณจะทำตามพระคัมภีร์ข้อนี้ได้อย่างไร?  ในเมื่อแม้แต่อธิษฐานคุณก็ยังไม่ได้อธิษฐานกับพระยาห์เวห์เลยแล้วคุณจะรักพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของคุณได้อย่างไร?  นี่อาจเป็นต้นตอปัญหาของความอ่อนแอและความเจ็บป่วยของคริสตจักรในทุกวันนี้

ไม่มีใครรู้จักพระยาห์เวห์ในคริสตจักร

     คริสตจักรทั่วโลกกำลังอ่อนแอลงและอ่อนแอลงเนื่องจากความเสื่อมถอยลงเรื่อยๆในฝ่ายจิตวิญญาณ  ผู้ที่ได้เดินทางไปต่างประเทศจะรู้ว่าคริสตจักรส่วนใหญ่ในประเทศตะวันตกนั้นไม่ใช่กำลังจะตาย  แต่ว่าได้ตายแล้ว

     ในทวีปยุโรปมีคริสตจักรประจำชาติ เช่น คริสตจักรแห่งอังกฤษ[16]และคริสตจักรลูเธอร์แลนแห่งเยอรมัน[17] เป็นต้น  แต่คริสตจักรเหล่านั้นล้วนตายแล้ว ผมคิดว่ามีเพียงไม่กี่คนที่จะแย้งเรื่องนี้อย่างจริงจัง เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องความคิดเห็นแต่เป็นความจริง  ผมมีเพื่อนหลายคนที่เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรแห่งชาติของเยอรมัน เป็นเพื่อนศิษยาภิบาลที่เคยศึกษาและได้รับการฝึกอบรมมาพร้อมกับผมและคริสตจักรของพวกเขาได้ตายแล้ว ผมได้ไปเยี่ยมศิษยาภิบาลเหล่านี้ขณะที่กำลังรับใช้คริสตจักรของพวกเขาอยู่ อาคารของคริสตจักรอาจดูใหญ่โตและน่าประทับใจแต่คริสตจักรมีชีวิตที่ไม่ต่างจากตัวอาคาร นี่ไม่ใช่คำพูดรุนแรงเลยแต่เป็นการบอกถึงความจริงที่แสนเจ็บปวด พูดจากประสบการณ์ตรงคือคุณจะเห็นคริสตจักรที่ตายแล้วได้ในทุกที่ในทวีปอเมริกาเหนือ

     หากคริสตจักรไม่ได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าของคริสตจักร แล้วคริสตจักรจะเป็นคริสตจักรที่มีชีวิตได้อย่างไร? และใครคือองค์ผู้เป็นเจ้าหรือพระเจ้าที่คริสตจักรไม่รู้จัก?  เป็นพระบิดา เป็นพระบุตร เป็นพระวิญญาณ หรือว่ารวมกันทั้งสามพระองค์? พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า พระยาห์เวห์เสด็จเข้ามาในโลกนี้แต่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพบอกว่าไม่ใช่  ไม่ใช่พระยาห์เวห์ที่เสด็จเข้ามาในโลกนี้แต่เป็นอีกผู้หนึ่งที่เรียกว่า “พระเจ้าพระบุตร” หลังจากที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมาเกือบตลอดชีวิตของผม ตอนนี้ผมเห็นจริงว่าเมื่อพิจารณาตามพระคัมภีร์แล้วไม่พบว่ามี “พระเจ้าพระบุตร” เลย จะมีก็แต่ “พระบุตรของพระเจ้า” ซึ่งแตกต่างอย่างมากจาก “พระเจ้าพระบุตร” เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราได้บิดเบือนคำว่า “พระบุตรของพระเจ้า” ให้เป็น“พระเจ้าพระบุตร” โดยไม่ตั้งใจ

       ผมไม่ได้กำลังกล่าวหาใครว่ามีเจตนาจะเชื่อผิด ผมเองก็มีส่วนร่วมในการสอนความเชื่อที่ผิดนี้และสอนได้ดีกว่าคนส่วนมากเสียอีก  ปัญหามีอยู่ว่าผมสอนดีจนเกินไปและผมก็รู้สึกเสียใจจริงๆ  แต่เราทุกคนก็ได้รับเอาความเชื่อที่ผิดนี้  ว่ากันที่จริงแล้วคำสอนนี้ได้ถูกสอนกันมานานถึง17ศตวรรษ     แต่จากการที่ได้ศึกษาพระคัมภีร์แบบศึกษาแล้วศึกษาอีกมากว่าครึ่งศตวรรษทำให้ผมต้องยอมรับว่าไม่มีบุคคลใดที่เรียกว่า “พระเจ้าพระบุตร”เลย

   เราได้เอาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ซึ่งก็คือพระยาห์เวห์ออกไป แล้วก็นำอีกบุคคลหนึ่งซึ่งไม่มีหลักฐานว่ามีอยู่ในพระคัมภีร์เดิมเลยเข้ามาแทน  แม้แต่พระคัมภีร์ใหม่ก็ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์ที่สองนี้แต่เราได้นำบุคคลดังกล่าวมาแทนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่  เราให้เกียรติและความเชื่อถือทั้งหมดกับพระองค์ที่สองนี้ เพราะในมุมมองของเรานั้นพระเยซูต่างหากที่ทรงทำทุกสิ่งเพื่อเรา พระองค์ทรงสอนความจริงกับเรา พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์และท้ายที่สุดพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราและทรงไถ่เราด้วยพระโลหิตของพระองค์ แล้วพระยาห์เวห์ทรงทำอะไรบ้าง?  พระองค์ก็ทรงส่งพระเยซูมานี่ไง

    แล้วบิดาแบบไหนหรือที่ส่งบุตรของตนมาตาย? หลักคำสอนของเราได้ลดทอนความนับถือที่เรามีต่อพระยาห์เวห์ใช่ไหม? หากคุณหรือผมมีลูกชาย เราก็คงไม่ส่งเขาไปตายหรอก  ผมก็เป็นคนหนึ่งที่จะไม่ส่งลูกของผมไปตายเป็นอันขาด ถ้าหากมีใครสักคนที่จะต้องตาย คนนั้นต้องเป็นผม ผมจะบอกลูกของผมว่า “ถอยไป ลูกยังอายุน้อย ยังอยู่ได้อีกนานกว่าพ่อ” แม้ว่าผมจะไม่สามารถทำได้เพราะความชรา หรือเจ็บป่วย หรือขี้ขลาด แต่เราจะพูดแบบเดียวกันนี้กับพระยาห์เวห์ไม่ได้เพราะว่าพระองค์ไม่เจ็บป่วย ไม่ชรา และไม่ขี้ขลาด ทำไมพระองค์จึงส่งพระบุตรของพระองค์มาตายในเมื่อพระองค์เป็นผู้ที่ควรจะทำเสียเอง?

     ถ้อยคำที่ชัดเจนของพระคัมภีร์มีอยู่ว่าพระยาห์เวห์เสด็จมาเพื่อช่วยเราให้รอด  เราต้องปรับความคิดของเราทั้งหมดให้เข้ากับถ้อยคำที่อัศจรรย์นี้  เราต้องมีความคิดแบบใหม่ทั้งหมดจึงจะเห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงดีเลิศเพียงใด เราจะเห็นในพระคัมภีร์เดิมว่าพระองค์เป็นผู้ที่ฆ่าสัตว์และเอาหนังของมันมาทำเสื้อเพื่อปกคลุมให้อาดัมกับเอวาเพื่อลบมลทินบาปของพวกเขา (คำว่า “ปกคลุม” มีความหมายเดียวกับคำว่า “ลบล้าง” ในภาษาฮีบรู) พระยาห์เวห์พระองค์เองได้เสด็จมาเพื่อทรงลบล้างบาปให้เรา

การลดค่าของมนุษย์

      หลังจากที่ได้พิเคราะห์กันมาสามบท ตอนนี้ผมจะพูดถึงพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่พูดถึงพระเยซูว่าอย่างไร? ถ้าเราสามารถหลุดออกจากแนวความคิดตามศาสนศาตร์แบบตะวันตกได้(ที่ผมเคยได้รับการอบรมมาและทำให้ผมวนอยู่ที่เดิม) เราก็จะสามารถพูดถึงมนุษย์โดยเฉพาะมนุษย์พระเยซูคริสต์โดยไม่ทำให้งง

     ประเด็นสำคัญเรื่องความเป็นมนุษย์ของพระเยซูนั้นไม่มีการโต้แย้ง เพราะแม้แต่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่พระเยซูทรงเป็นมนุษย์  ความจริงที่สำคัญนี้ไม่สามารถจะปฏิเสธได้เพราะว่าพระคัมภีร์ใหม่พูดถึงพระเยซูในฐานะมนุษย์อยู่ตลอด   พระองค์ชอบเรียกตัวพระองค์เองว่า “บุตรมนุษย์” จนพระองค์แทบจะไม่ใช้คำเรียกอื่นเอ่ยถึงตัวพระองค์เอง  พระองค์ทรงเอ่ยถึงตัวพระองค์เองว่า “บุตรของพระเจ้า” อยู่บ้างแต่พระองค์จะพูดถึงตัวพระองค์เองเสมอว่า “บุตรมนุษย์” ซึ่งเป็นสำนวนพูดในภาษาอารเมคที่หมายถึง “มนุษย์” พระเยซูทรงมองพระองค์เองเป็นมนุษย์ คำว่า  “บุตรมนุษย์” ในภาษาฮีบรูที่ใช้ในพระคัมภีร์และแม้แต่ภาษาฮีบรูสมัยใหม่จะมีความหมายแค่เพียงว่ามนุษย์   ถ้าผมกำลังพูดอยู่กับใครสักคนเป็นภาษาฮีบรูสมัยใหม่ผมก็จะพูดถึงคนนั้นว่า “บุตรมนุษย์” เพราะเป็นวิธีที่คุณเอ่ยถึงใครสักคนในภาษาฮีบรู  ในภาษาฮีบรูจะไม่มีคำทั่วไปที่ใช้กับมนุษย์นอกจากคำว่า “บุตรมนุษย์” (ben adam)ที่มาจากคำว่าben (บุตรชาย) และadam(มนุษย์) ตรงนี้คุณคงรู้จักคำว่า Adam ที่มีความหมายตรงๆว่า “มนุษย์”

     แต่ประเด็นความเป็นมนุษย์ของพระเยซูนั้นเต็มไปด้วยปัญหามากมายส่วนใหญ่ก็เพราะแนวคิดเกี่ยวกับมนุษย์ที่แพร่หลายและยอมรับกันในทุกวันนี้ ผมได้รับนิตยสารไทม์ฉบับวันที่9ตุลาคม2006 สองสามสัปดาห์ก่อนที่เราจะออกจากแคนาดาไม่นาน  คุณจะเห็นหน้าปกเป็นภาพของลิงไม่มีหาง หรือลิงกอริลล่าหรือดูจะเหมือนลิงชิมแปนซีมากกว่า บนหน้าปกก็มีภาพของทารกที่เป็นมนุษย์และมีหัวข้อพาดไว้ว่า “เรามาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร”[18]  คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าพระเจ้ามาเป็นมนุษย์ได้อย่างไรแต่เป็นคำถามที่ว่าเรามาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร  ในเล่มมีบทความเรื่องวิวัฒนาการซึ่งกล่าวว่าลิงชิมแปนซีและมนุษย์มีดีเอ็นเอ (DNA)[19] ร่วมกันเกือบ99%ประเด็นอยู่ที่ว่ามนุษย์ไม่ได้มีพระเจ้าเป็นบิดาของเขา แต่มีลิงที่ไม่ว่าจะเป็นกอริลล่าหรือเป็นชิมแปนซีหรืออะไรก็ตามเป็นบรรพบุรุษของเขา  ณ ช่วงเวลาหนึ่งในกระบวนการของวิวัฒนาการได้มีการแตกแขนงออกไป แต่มันก็ม่ใช่ความแตกต่างมากมายนัก เนื่องจากมันส่งผลให้องค์ประกอบของดีเอ็นเอ (DNA) มีความแตกต่างกันเพียง 1%เท่านั้น (ในบทความนี้ไม่ได้กล่าวถึงว่าดีเอ็นเอของมนุษย์นั้นแตกต่างจากDNA ของสุนัขเพียง 2%หรือ3%ถ้าผมจำไม่ผิด ซึ่งหมายถึงว่าความคล้ายคลึงกันกับDNA ของมนุษย์นั้นไม่ได้มีเฉพาะในลิงชิมแปนซี) 

     ในบทความนี้แสดงให้เห็นแผนผังกิ่งก้านสาขาตระกูลของลิงมากมายหรือคุณจะเรียกพวกมันว่าอะไรก็ตาม  ตรงแถบด้านข้างมีความคิดเห็นไว้ว่าในมนุษย์มี3พันล้านข้อมูลทางพันธุกรรม[20]ซึ่งมี 1.23%แตกต่างจากของลิงชิมแปนซี คุณไม่ต้องเป็นนักคณิตศาสตร์ก็พอจะเห็นว่า 1.23%ของ3 พันล้านก็คือราว36 ล้าน (36,000,000) ซึ่งหมายความว่ามนุษย์มีดีเอ็นเอ (DNA) ที่แตกต่างจากดีเอ็นเอ (DNA) ของลิงชิมแปนซี36ล้านข้อมูลทางพันธุกรรมซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ใช่น้อยเลย ถ้าใครคิดว่าความแตกต่าง 1.23%  (ซึ่งเป็นตัวเลขที่กำหนดโดยโครงการจัดทำแผนผังลักษณะพันธุกรรม[21]ที่เสร็จสมบูรณ์ในปี2000)เป็นตัวเลขที่ไม่สำคัญผมก็อยากจะถามชาร์ลส์ ดาร์วิน[22]หรือนักวิวัฒนาการนอื่นๆให้ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วยว่า ทำไมลิงชิมแปนซีจึงไม่สามารถจะพูดสักสองสามคำให้ปะติดปะต่อกันได้ในภาษาใดก็ได้  ในขณะที่เด็กซึ่งเป็นมนุษย์สามารถจะผูกเป็นประโยคได้  เมื่อลูกสาวของเราอายุได้หนึ่งขวบ เธอจะพูดจ้อไม่หยุด  เราแทบหมดแรงที่เธอคุยจ้อไม่หยุด พ่อแม่บางคนอาจโชคดีกว่าเราเพราะลูกของพวกเขาเริ่มจะหัดพูดตอนอายุสองขวบ

     ประเด็นของผมก็คือความแตกต่าง 1.23%ที่แตกต่างกัน36ล้านข้อมูลพันธุกรรมนั้นเป็นความแตกต่างกันมาก  นกแก้วก็สามารถพูดได้เป็นประโยค นกขุนทองบางตัวก็สามารถพูดได้ดีกว่าพวกนกแก้ว  คุณอาจจะคิดว่านกแก้วหรือนกขุนทองไม่เข้าใจว่ามันพูดอะไร แต่คุณอาจต้องแปลกใจ คุณสามารถสอนนกขุนทองให้พูดตรงกับเหตุการณ์ได้อย่างเหมาะเหม็ง คุณสามารถจะสอนมันให้พูดว่า “ขอถั่วหน่อย” เมื่อมันอยากกินถั่ว แต่ลิงชิมแปนซีไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ มันสามารถกดปุ่มได้ก็จริงแต่สุนัขหรือหนูก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

     เราชอบด่วนสรุปกันง่ายๆ  แต่ว่าผมไม่ได้รู้สึกขายหน้าถ้ามีใครมาบอกผมว่าผมสืบเชื้อสายมาจากลิง  เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหากับผมแต่สิ่งที่ผมต้องการจะรู้ก็คือความจริงของเรื่องนี้  ผมยอมรับว่าพวกสัตว์มีความเหนือกว่ามนุษย์ในหลายด้าน สถิติโลกของการวิ่ง 100เมตรของมนุษย์คือ9.7 วินาที  แต่คุณอาจต้องอายหากรู้ว่ามีสุนัขที่สามารถวิ่งได้เร็วกว่านั้นอีก หากคุณวิ่งกับสุนัขมันจะวิ่งไม่ห่างคุณแม้ว่าคุณจะวิ่งเร็วสักแค่ไหนเพราะความจริงแล้วมันสามารถจะวิ่งนำหน้าคุณได้ตลอดเวลา  เมื่อพูดถึงการว่ายน้ำก็ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถว่ายแข่งกับปลาโลมาได้  เมื่อพูดถึงการวิ่งก็ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถจะแข่งกับเสือชีต้าที่สามารถวิ่งได้เร็วถึง105กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ คุณคงจะควบคุมจักรยานได้ยากมากถ้าคุณปั่นด้วยความเร็วขนาดนั้น คุณเคยพยายามปั่นจักรยานด้วยความเร็ว80กิโลเมตรต่อชั่วโมงไหม? คุณจะปั่นด้วยความเร็วขนาดนั้นไม่ได้นอกเสียจากว่าจะขี่ลงเนิน นักปั่นจักรยานอาชีพจะปั่นจักรยานบนทางราบด้วยความเร็ว80กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ยังทำได้ยากแม้จะเป็นระยะทางสั้นๆก็ตาม

           มนุษย์และสัตว์ยังมีลักษณะทางพันธุกรรมร่วมกันอยู่มาก  ผมยินดีที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกับเสือชีต้า หรือเหมือนกับปลาโลมาซึ่งที่จริงแล้วมีสมองใหญ่กว่าลิงชิมแปนซี  สมองของปลาโลมาจะมีขนาดใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์และใหญ่กว่าสมองของลิงกอริลล่ามาก ถึงแม้จะมีน้ำหนักตัวใกล้เคียงกัน เรารู้กันดีถึงความเฉลียวฉลาดของปลาโลมา ฉะนั้นแค่การกดปุ่มจึงไม่ใช่เรื่องพิเศษสำหรับปลาโลมาเลย

     เรื่องของวิวัฒนาการเกี่ยวข้องอะไรกับหัวข้อของผมตอนนี้?  ประเด็นของผมก็คือได้มีการลดค่าของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยของดาร์วิน  ก่อนหน้านี้เราสามารถพูดด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงสร้างคุณและผมตามฉายาของพระเจ้าเพราะพระคัมภีร์มีแนวคิดที่ยกย่องมนุษย์แต่สำหรับพวกเราที่ได้รับการศึกษาในประเทศจีน (ผมศึกษาจนถึงชั้นมัธยม)ถูกปลูกฝังความเชื่อว่าเรามีวิวัฒนาการมาจากลิง  ในประเทศจีนเคยมีการลงโทษผู้ที่ไม่ยอมรับเรื่องของวิวัฒนาการแม้การลงโทษจะทุเลาลงตั้งแต่นั้นมา   ถ้าหากคุณแย้งเรื่องวิวัฒนาการในยุคของผม คุณจะถูกหาว่าความคิดของคุณมีปัญหา[23]และต้องเข้าเรียนใหม่  ดีที่ไม่มีเรื่องนี้ในประเทศจีนอีกแล้ว  แต่ทว่าความคิดแบบนี้ได้เปลี่ยนไปจริงๆหรือยังในประเทศตะวันตก?  คำตอบคือยังไม่เปลี่ยนเลยดังที่คุณจะเห็นได้จากนิตยสารฉบับนี้     แม้แต่เด็กนักเรียนก็ยังคงถูกสอนว่าลิงค่อยๆวิวัฒนาการจนกลายมาเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงมีหัวข้อเรื่อง  “เรามาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?”

มนุษย์เลวทรามไปหมดอย่างนั้นหรือ?

     แต่ทว่าคริสตจักรได้ให้ภาพมนุษย์ไว้อย่างน่ากลัว ในขณะที่เรื่องของวิวัฒนาการสอนว่าร่างกายมนุษย์มีพัฒนาการมาจากลิง คริสตจักรก็บอกว่าจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นเสื่อมทรามลง มนุษย์แย่อย่างที่คุณสามารถจะให้แย่ถึงขนาดนั้นได้  ฝ่ายร่างกายคุณมาจากลิง ฝ่ายจิตวิญญาณคุณก็เสื่อมทรามลง  นี่เป็นหลักคำสอนของประเทศตะวันตกซึ่งรับเอาความเชื่อตามคาลวิน[24]ที่ตกขอบอย่างสุดๆ  มนุษย์ไม่ได้ “เสื่อมลง” เท่านั้นเขายัง “เลวทรามลง”  นี่คือคำศัพท์ศาสนศาสตร์ที่ใช้ในความเชื่อของคริสเตียน  มนุษย์เลวทรามอย่างสุดๆและอย่างสมบูรณ์นั่นก็คือมนุษย์เลวทรามเต็มที่ทั้งในทางศีลธรรมและจิตวิญญาณ  คริสตจักรฉุดมนุษย์ให้ต่ำลงและต่ำลงในระดับที่น่ากลัวกว่าที่ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ของโลกนี้ที่ทำเสียอีก  อย่างนี้แล้วมนุษย์จะเหลืออะไรอีก?

     แม้เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคนหนึ่งผมก็ปฏิเสธคำสอนนี้ที่ไม่ตรงกับพระคัมภีร์  เพราะพระคัมภีร์ไม่มีความคิดเกี่ยวกับมนุษย์ในแบบนั้นเลย ผมได้ชี้ให้เห็นว่าในพระคัมภีร์เดิมซึ่งเป็นพระคัมภีร์ของชาวยิวไม่มีความคิดเช่นนั้นเกี่ยวกับมนุษย์  ชาวยิวเองก็ไม่เคยพบหลักคำสอนแบบนั้นในพระคัมภีร์ของพวกเขาเอง  ความเชื่อของศาสนายิว[25]นั้นไม่มีหลักคำสอนในเรื่องของความบาปแต่กำเนิด ความชั่วช้าแต่กำเนิด หรือความเลวทรามแต่กำเนิด

       ความจริงแล้วพระคัมภีร์เดิมมีมุมมองที่เชิดชูมนุษย์  แต่เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพคุณจะไม่เข้าใจอย่างนี้ คุณกับผมได้รับการสอนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่ามนุษย์ชั่วช้าทางศีลธรรมและเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณ  การสอนเช่นนี้ก็เพื่อค่อยๆซึมซับเราให้ต้องการความรอด เหมือนกับว่าเราจะได้คนกลับใจมากขึ้นเมื่อสอนความคิดผิดๆแต่หารู้ไม่ว่าทุกคนที่ชั่วช้าจริงๆอย่างที่บอกไว้ในหลักคำสอนนั้นจะไม่สนใจคำของคุณสักเท่าไร

       เราคุ้นกับถ้อยคำจากสดุดี 8:4ที่ว่า “มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าที่พระองค์ทรงนึถึงเขา และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าที่พระองค์จึงทรงห่วงใยเขา? (ฉบับNIV)  เราก็ยังมีบทเพลงที่ชื่อ “มนุษย์เป็นใครเล่าที่พระองค์ทรงนึกถึงเขา?คริสเตียนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าคำพูดนี้หมายถึงมนุษย์ที่ไม่ได้สำคัญอะไร  เพราะฉะนั้นถ้าพระเจ้าจะทรงใส่พระทัยเขา มันก็ต้องมาจากความเมตตาของพระองค์!

       แต่สดุดีพูดอย่างนั้นจริงๆไหม?  ข้อต่อมากล่าวว่า “พระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียวและสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา” (สดุดี8:5ฉบับ NRSV)[26]  เมื่อคุณฟังแล้วเห็ว่ามนุษย์ดูต่ำไหม?  ทำไมเราจึงยกแต่สดุดี 8:4 แล้วไม่สนใจข้อถัดมา?  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเราถูกล้างสมองให้คิดว่ามนุษย์ไม่ได้สำคัญอะไร

     แต่ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ ผู้เขียนสดุดียังกล่าวต่อไปอีกว่า “พระองค์ทรงตั้งพวกเขาให้ปกครองสิ่งสารพัดที่ทรงสร้างขึ้น  พระองค์ทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าของพวกเขา” (สดุดี8:6  ฉบับNIV)  สถานะของมนุษย์ได้รับการเชิดชูในสายพระเนตรของพระเจ้า!  คำสอนในพระคัมภีร์มีว่าพระเจ้าได้ทรงวางทุกสิ่งให้อยู่ใต้เท้าของมนุษย์แต่เรายกอ้างพระคัมภีร์แบบออกนอกบริบท  สดุดีนี้กล่าวตรงกันข้ามอย่างมาก คือมนุษย์ได้รับการเชิดชูสถานะในสายพระเนตรของพระเจ้า ซึ่งตรงข้ามกับการกล่าวว่ามนุษย์ไม่ได้สำคัญอะไร

     พระคัมภีร์ตอนที่มักจะยกมาสนับสนุนความเลวทรามไปหมดของมนุษย์ก็คือโรม3:10-18

10ตามที่​​มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมไม่มีเลยแม้สักคนเดียว11ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า 12เขาทุกคนหลงผิดไปหมดพวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าด้วยกันทั้งนั้น  ไม่มีใครที่ทำดีไม่มีเลยสักคนเดียว13ลำคอของพวกเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน พิษงูร้ายอยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา14ปากของพวกเขาเต็มไปด้วยคำแช่งสาปและคำเผ็ดร้อน15เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด16ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์ระทม17และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข18เขาไม่เคยคิดจะยำเกรงพระเจ้า”(ฉบับNIV)

     ความจริงที่แน่นอนก็คือผู้ที่ไม่มีชีวิตใหม่จะอยู่ใต้อำนาจของบาป ในข้อ 10เราจะเห็นคำพูดที่สำคัญว่า “ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้” ซึ่งเป็นคำยกอ้างจากที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เดิม คำอ้างอิงนี้กล่าวว่าไม่มีใครเลยชอบธรรม  แต่นั่นก็ไม่เหมือนกับการกล่าวว่าทุกคนล้วนเลวทรามไปหมด เสื่อมลง และชั่วช้าอย่างที่สุด  เรากำลังใส่ความคิดของเราเองเข้าไปในพระคัมภีร์  มันจริงที่ไม่มีใครชอบธรรมเลยสักคนด้วยกำลังของตัวเขาเองเพราะทุกคนอยู่ใต้อำนาจของบาปและต้องการพระกิตติคุณ  หากไม่เป็นเช่นนั้น พระคริสต์ก็คงไม่ต้องมาตายเพื่อเรา

     ข้อ 13 ไม่ได้บอกหรือว่าพิษของงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของพวกเขา?  แต่เราก็ยังอ่านข้อนี้ออกนอกบริบท  ข้อนี้อ้างอิงมาจากสดุดีของดาวิดที่ดาวิดกำลังพูดถึง “ศัตรู” ของเขา (สดุดี 5:8-9)  เขาไม่ได้กำลังพูดถึงมนุษย์ทุกคน  การพูดว่าศัตรูของเขาชั่วร้ายนั้นไม่เหมือนกับการพูดว่ามนุษย์ทุกคนเป็นเช่นนั้น

     คนในรุ่นของเราจะได้ยินและบางคนก็ได้เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่คนถึง 10 ล้านคนถูกพวกนาซีฆ่าตาย  มนุษย์มีขีดความสามารถที่จะชั่วได้อย่างสุดๆ  ชาวยิวหกล้านคนและไม่ใช่ยิวอีกสี่ล้านคนที่ถูกกำจัดให้สิ้นซากในค่ายกักกันนั้นโดนความชั่วร้ายขนาดไหน? เชื่อแน่ว่าเป็นการกระทำของชาวเยอรมันส่วนน้อยที่ชาวเยอรมันส่วนใหญ่ไม่มีส่วนรู้เห็น  ชาวเยอรมันรู้สึกเสียใจอย่างมากกับเรื่องนี้  พวกเขาได้ขอโทษและขอให้ชาวยิวยกโทษให้และได้ให้เงินชดเชยจำนวนมหาศาลกับอิสราเอล  มีความเจ็บปวดและเสียใจอย่างลึกๆในจิตใจของชาวเยอรมันเมื่อพวกเขารู้ว่ากลุ่มคนชั่วช้าได้กระทำสิ่งที่โหดร้ายในประเทศของตนเองในขณะที่ชาวเยอรมันทั่วไปในเวลานั้นไม่รู้เรื่อง

     การที่กล่าวว่า ทุกคนชั่วร้ายและเลวทรามเหมือนพวกนาซีนั้น ไม่ได้เป็นมุมมองของพระคัมภีร์  พระคัมภีร์เตือนเราว่ามนุษย์สามารถจะชั่วได้ถึงขีดสุด แต่พระคัมภีร์ไม่ได้พูดว่าทุกคนเป็นเช่นนั้น  คุณคงเคยพบคนที่ไม่เป็นคริสเตียนที่ดีอย่างเหลือเกิน คนที่ดีเอามากๆที่ผมได้พบก็คือคนที่ไม่เป็น คริสเตียน บางครั้งผมก็พูดกับเฮเลนภรรยาของผมว่า “ทำไมคนที่ไม่เป็นคริสเตียนบางคนจึงดีกว่าคนที่เป็นคริสเตียนตั้งเยอะ?”

     พระเยซูทรงสอนไหมว่ามนุษย์เสื่อมทรามไปหมดพระองค์ไม่ได้ตรัสหรือว่า “ไม่ใช่สิ่งซึ่งเข้าไปในปากหรือที่​​ทำให้มนุษย์เป็นมลทินแต่สิ่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”(มัทธิว15:11ฉบับ NASB)?การที่กล่าวว่าลักษณะของความชั่วร้ายทุกอย่างออกมาจากปากของมนุษย์นั้นประเด็นหลักของพระเยซูก็คือสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายไม่ได้มาจากอาหารที่คุณกินเข้าไป  อาหารจะสะอาดหรือไม่สะอาดก็ไม่เกี่ยวกันเลยเพราะอาหารเป็นสิ่งภายนอก และความชั่วร้ายไม่ใช่สิ่งที่คุณกินเข้าไปในร่างกายของคุณ  ความชั่วร้ายมาจากใจของคุณ  พระเยซูไม่ได้กำลังบอกว่าทุกคนในโลกนี้ล้วนชั่วช้าและเลวทราม  แต่ความบาปมาจากใจไม่ได้มาจากอาหารที่คุณกินเข้าไป

       เปาโลได้ให้ประเด็นสำคัญใน 1โครินธ์ 11:7ไว้ว่า ผู้ชาย “เป็นพระฉายาและสง่าราศี[27]ของพระเจ้า” หรือฉบับนิวรีไวซ์แสตนดาร์ด(NRSV)แปลว่า “เป็นพระฉายาและภาพสะท้อนให้เห็นพระเจ้า”จงสังเกตกาลปัจจุบันทางไวยากรณ์ที่ผู้ชายกำลังเป็นไม่ใช่เคยเป็นพระฉายาของพระเจ้า  ในพระคัมภีร์ไม่เคยกล่าวว่ามนุษย์ได้สูญเสียพระฉายาของพระเจ้า  แต่ตามคำสอนของคริสเตียนในประเทศตะวันตกมีว่าเมื่ออาดัมทำบาป พระฉายาของพระเจ้าในเขาจึงหมดไป ถูกทำลายไปหรือสูญไป  เปาโลปฏิเสธเรื่องนี้จากที่เห็นในคำกล่าวของเขาว่าผู้ชายเป็น “พระฉายาและภาพสะท้อนของพระเจ้า”  ผู้หญิงก็เป็นพระฉายาและภาพสะท้อนของพระเจ้าด้วย  เพราะถ้าผู้หญิงเป็นภาพสะท้อนของผู้ชายและผู้ชายเป็นพระฉายาและพระสิริของพระเจ้า  ดังนั้นผู้หญิงก็ต้องเป็นพระฉายาและพระสิริของพระเจ้าเช่นกัน

 

คนที่ไม่เป็นคริสเตียนเลวทรามไหม?

         แม้ขณะที่ไม่เป็นคริสเตียน เปาโลก็เป็นคนชอบธรรมตามบทบัญญัติ (ฟีลิปปี 3:6)[28]  เขาไม่เคยบอกว่าตัวเองเลวทรามและชั่วช้าแต่บอกว่าไม่มีที่ติและชอบธรรมตามบทบัญญัติ การเป็นคนชอบธรรมตามบทบัญญัตินั้นหมายความว่าคุณปฏิบัติตามข้อกำหนดของบทบัญญัติและไม่ทำบาปที่ชั่วร้าย เปาโลเป็นคนชอบธรรมในความหมายนั้น  แต่ด้วยความไม่รู้ของเขานั้นเขาได้ข่มเหงคริสตจักรเพราะเขาคิดว่าเขากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องต่อบทบัญญัติ และเขาก็เสียใจอย่างที่สุดในภายหลังกับความเชื่อที่ผิดนั้น  จากความไม่รู้นี้เขารู้สึกว่าพวกคริสเตียนไม่ยึดมั่นต่อบทบัญญัติ แต่เขากำลังทำตามบทบัญญัติด้วยความกระตือรือร้นมาก  เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นผู้ชอบธรรมต่อบทบัญญัติเขาจึงต้องดำเนินการกับคนเหล่านั้น

     พระเยซูทรงมองมนุษย์ว่าเสื่อมทรามและชั่วช้าไหม?  ถ้าพระองค์มองอย่างนั้นพระองค์คงไม่สอนคำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีแน่  ชาวสะมาเรียผู้นี้ไม่ได้เป็นสาวกของพระเยซูและก็ไม่ได้เป็นคริสเตียน  ชาวสะมาเรียผู้นี้ไม่ได้ทำตามพระบัญญัติของชาวยิวและไม่ได้นมัสการในพระวิหารของชาวยิวด้วย  แต่พระเยซูตรัสอะไรเกี่ยวกับชาวสะมาเรียที่ไม่ได้บังเกิดใหม่คนนี้หรือ?  เขาเป็นคนชอบธรรมยิ่งกว่าปุโรหิตและคนเลวีเสียอีกเพราะว่าเขายอมที่จะช่วยชีวิตชายที่กำลังจะตาย  คนที่เลวทราม เสื่อมลงและชั่วช้าจะแสดงความเมตตาที่เกินธรรมดาเช่นนี้กับคนแปลกหน้าแท้ๆได้อย่างไร?

     เราบิดเบือนพระคัมภีร์ให้พูดตามที่เราต้องการให้พระคัมภีร์พูด  โดยเลือกจากข้อตรงนี้บ้างข้อตรงโน้นบ้าง  เราเลือกเอาแต่ข้อที่เป็นประโยชน์กับเราในพระธรรมโรมเพื่อใช้พิสูจน์ประเด็นของเรา  มีข้อพระคัมภีร์หลายข้อ เช่น 1โครินธ์ 11:7[29]ที่เราไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร เราก็เลยหาข้ออื่นที่สอดคล้องกับความเชื่อของเราอย่างเช่น โรม 3:23 ที่กล่าวว่าเราทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริ[30]ของพระเจ้า

       เมื่อยังไม่ได้เป็นคริสเตียนผมก็เป็นคนชอบธรรมด้วย  ที่จริงแล้วผมนึกแทบไม่ออกว่าผมเคยทำบาปอะไรบ้างเมื่อยังไม่เป็นคริสเตียน  ผมหลีกเลี่ยงการกระทำความบาปทางเพศ เช่น มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน[31] ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้วในหมู่คนหนุ่มสาว  ผมมุ่งเน้นกับความรักที่มีต่อประเทศจีน  ผมอุทิศกำลังและเรี่ยวแรงของผมทั้งหมดกับการเตรียมตัวเองเพื่อรับใช้ประเทศชาติของผม  ผมคิดว่าไม่มีใครในประเทศจีนจะรักชาติมากเท่าผม  ด้วยความรักชาติอย่างแรงกล้าของผมนี่เองผมจึงฝึกฝนร่างกายด้วยกีฬาและศิลปะการต่อสู้ รวมทั้งฝึกฝนความรู้ด้านคณิตศาสตร์และวิชาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกัน  ผมอ่านหนังสือตั้งแต่ปรัชญาไปจนวิทยาศาสตร์เพื่อเตรียมตัวรับใช้ประเทศชาติของผม

     ในสถานการณ์แบบนั้นจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะทำบาปเพราะไม่มีโอกาสที่จะคิดเรื่องนั้น  ผมไม่ได้คิดถึงผู้หญิงและตัวผมเองไม่ได้สนใจผู้หญิง  เมื่อมีผู้หญิงคนไหนมาสนใจผม ผมจะวิ่งหนี โปรดอย่ามายุ่งกับผมเลยผมจะได้ทำตามเป้าหมายของผมได้เต็มที่ผมไม่เคยทำบาปทางเพศเลยเพราะผมไม่ได้สนใจมัน  ผมไม่ได้ลักขโมยหรือปล้นจี้  แล้วเช่นนั้นจะเหลือบาปอะไรให้ผมทำอีกหรือ?  เมื่อมองย้อนกลับไปก็นึกไม่ออกว่าผมทำบาปอะไรไปหรือ?

     ผมสามารถพูดเช่นเดียวกับเปาโลว่า ถ้าจะพูดกันตามกฎหมายของมนุษย์หรือกฎของศีลธรรมแล้วผมก็ไม่มีที่ติ ผมไม่ได้ทำผิดกฎเหล่านั้นเลย  นั่นหมายความว่าผมไม่ต้องการพระคริสต์หรือ?  ผมต้องการพระคริสต์แน่ๆ แต่ทำไมเราจะต้องสอนว่าทุกคนเสื่อมทรามลง?  ผมเป็นพยานได้ว่าเพื่อนของผมบางคนที่ไม่เป็นคริสเตียนเป็นคนที่ดีเยี่ยมหรืออย่างน้อยก็ดีพอๆกับผม ผมยังมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับพวกเขา และช่วงเวลาที่ดีที่เราเคยมีด้วยกัน  เราพูดคุยกันหลายเรื่องแต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องบาปเลย  แล้วทำไมเราจึงบอกว่าทุกคนเสื่อมทรามในเมื่อไม่มีการสอนเช่นนั้นในพระคัมภีร์?

     ผมยอมรับว่าผู้คนสามารถจะชั่วได้อย่างสุดๆ  เมื่อผมเป็นเด็กผมเห็นว่าคนญี่ปุ่นชั่วร้ายมากๆ  การกระทำที่โหดเหี้ยม เช่นการสังหารหมู่ที่นานกิง[32]ยังคงทำให้เลือดของผมเดือดพล่าน ผมไม่สามารถจะเอาเลือดรักชาติออกไปจากตัวของผมได้ และก็ไม่ต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น  เมื่อผมคิดถึงการฆ่าหมู่นี้มันก็ทำให้ผมเดือด  ผมจึงต้องขอให้พระเจ้าทรงทำให้ผมสงบลง

พระเจ้าอย่างสมบูรณ์และมนุษย์อย่างสมบูรณ์

     ถ้าเราไม่ขจัดความคิดผิดๆเกี่ยวกับมนุษย์ให้หมดไป เราก็จะพูดถึงพระเยซูว่าเป็นมนุษย์อย่างลำบากใจ  นั่นคือเหตุผลที่เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เราจึงไม่ชอบพูดถึงพระเยซูว่าเป็นมนุษย์  เพราะสำหรับเราแล้วมนุษย์เลวทรามและเสื่อมลง ฉะนั้นผู้ที่ปราศจากบาปอย่างพระเยซูจะเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?  ทำไมพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์จะเสด็จเข้ามาในโลกนี้มาสถิตอยู่ในมนุษย์เล่า?  ความคิดของเราไม่ยอมรับเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าแบบนี้ ดังนั้นเราจึงต้องอุปโลกน์อีกผู้หนึ่งขึ้นมา

     แต่ปัญหาของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือ พระเจ้าพระองค์ที่สองซึ่งก็คือพระเจ้าพระบุตรนั้นเป็นเหมือนกับพระบิดาทุกประการ  พระองค์ทรงดำรงอยู่นิรันดร์และเท่าเทียมกับพระบิดาและทรงมีคุณสมบัติทุกอย่างเหมือนพระบิดา  เพราะฉะนั้นถ้าคำสอนใดที่เป็นปัญหาทางศาสนศาสตร์เมื่อเรานำไปใช้กับพระเจ้าพระบิดา มันก็จะเป็นปัญหาพอๆกันเมื่อเรานำไปใช้กับพระเจ้าพระบุตร  การนำ เสนอพระเจ้าพระองค์ที่สองก็ไม่ได้ทำให้ตัวเราเองพ้นจากปัญหาเสียทีเดียว  พระเจ้าพระบุตรไม่ได้อยู่ไกลเหมือนพระบิดาหรอกหรือ?  ถ้าพระองค์ทรงเท่าเทียมกับพระบิดาทุกประการพระองค์ก็ต้องอยู่ไกลเช่นกัน  ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมพระบิดาจึงไม่เสด็จลงมาในโลกนี้เสียเอง แต่กลับส่งผู้อื่นซึ่งเหมือนกับพระองค์ทุกประการมาแทน?  มีบางสิ่งบางอย่างในเรื่องนี้ที่ไร้เหตุผล  เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพผมก็ไม่มีคำตอบในเรื่องนี้  ผมยอมรับการสอนตามที่ยอมรับกันมาเพราะคริสตจักรได้สอนผมมาอย่างนั้น

     เรื่องที่มนุษย์ต่ำกว่าพระเจ้าหน่อยเดียวนั้นเกี่ยวโยงกับสิ่งอื่นที่เกี่ยวกับมนุษย์อีก  แผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ซึ่งก็คือแผนการสำหรับคุณและผมนั้นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ  คือเราจะปกครองร่วมกับพระองค์  เราไม่ได้ปกครองแต่มนุษย์เท่านั้นเราจะได้พิพากษาเหล่าทูตสวรรค์ด้วย “ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะพิพากษาทูตสวรรค์? เช่นนี้แล้วเรายิ่งสมควรจะจัดการกับเรื่องราวต่างๆของชีวิตนี้ได้ดีกว่านั้นสักเพียงใด! (1โครินธ์6:3 ฉบับNIV เราถือว่าพวกทูตสวรรค์เป็นวิญญาณที่มีฤทธิ์แต่ทูตสวรรค์เหล่านี้แหละที่เราจะพิพากษา และถ้าคุณสามารถจะพิพากษาพวกทูตสวรรค์ได้แล้วจะมีอะไรอีกหรือที่คุณจะทำไม่ได้?  พระเจ้าทรงมีแผนการที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งสำหรับมนุษย์  แล้วทำไมคุณจึงยังคงฉุดลากมนุษย์ให้จมโคลนเล่า?

      ผมจะไม่พูดถึงคำถามเรื่องของคนที่บังเกิดใหม่แต่จะพูดว่ามุมมองของคริสเตียนต่อคนที่บังเกิดใหม่นั้นไม่ได้ดีไปกว่ามุมมองต่อคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ลูเธอร์กล่าวว่าเราเป็นธรรมิกชนและคนบาปในเวลาเดียวกันและคุณจะเป็นคนบาปไปตลอดชีวิตของคุณ  แต่ดูเหมือนเปาโลจะไม่สนใจในส่วนของ “คนบาป” และมุ่งสนใจกับในส่วนของ “ธรรมิกชน”[33] อันที่จริงเปาโลพูดถึงคริสเตียนเสมอมาว่าเป็นธรรมิกชน  นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำบาปไม่ได้เพราะความจริงแล้วเราก็ยังสามารถจะทำบาปได้  แต่การเรียกคนที่บังเกิดใหม่ว่าเป็นคนบาปยังกับว่าเขาไม่ได้บังเกิดใหม่นั้นก็ได้บอกเราแล้วว่ามีปัญหากับมุมมองของเราเกี่ยวกับมนุษย์

     ก่อนจะพูดถึงความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์และคำถามเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับพระคริสต์[34]  เราต้องขจัดปมประเด็นที่มีเสียก่อนไม่เช่นนั้นเราจะงุนงงก่อนที่จะต่อในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับพระคริสต์  เมื่อถึงตอนนั้นเราจะไม่สามารถคิดเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้  ตลอดหลายทศวรรษมานี้ผมได้ทุ่มตัวเองศึกษาเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับพระคริสต์ และคงไม่มีใครที่ได้ศึกษาเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับพระคริสต์มากเท่ากับผม  ผมอ่านหนังสือต่างๆ ได้ทำการศึกษาในเรื่องนี้ ได้วิเคราะห์หลักคำสอนต่างๆแบบวิเคราะห์แล้ววิเคราะห์อีกและได้ศึกษาทุกข้อในพระคัมภีร์  ถ้าหากเราจะคิดให้ชัดเจนเราก็ต้องขจัดความคิดที่ผิดๆออกให้หมด  นั่นคือสิ่งที่ผมได้ทำมาโดยตลอดแต่ก็ยังขจัดได้ไม่หมด

     ความเชื่อในตรีเอกานุภาพมีคำสอนที่เป็นปัญหาอย่างมาก เมื่อผมเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมไม่ได้เห็นความร้ายแรงของปัญหานี้และผมก็สอนหลักคำสอนนั้นด้วยความกระตือรือร้นของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพที่ดี  หลักคำสอนนั้นคืออะไรหรือ?  คำสอนนั้นก็คือพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้  เรื่องที่คุณคุ้นจากข้อเชื่อของคริสตจักร

“พระเจ้าแท้” หมายความว่าอย่างไร?  มันก็หมายความว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า 100%  เพราะถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้า 100% พระองค์ก็ไม่ได้เป็นพระเจ้าแท้  แต่พระองค์ก็เป็นมนุษย์แท้ด้วยซึ่งน่าจะหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ 100% ผมไม่ต้องเป็นนักคณิตศาสตร์ก็เห็นได้ว่าเรามีปัญหา  เพราะตอนนี้พระเยซูทรงเป็น 200% (พระเจ้า 100% และมนุษย์ 100%)  คนคนหนึ่งจะเป็น 200% ของสิ่งใดได้อย่างไร?    

     พระเยซูจะเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ได้อย่างไร?  ถ้าผมจะบอกว่ามีคนคนหนึ่งเป็นคนจีน 100%และในเวลาเดียวกันก็เป็นคนอิตาลี 100% คุณฟังดูแล้วสอดคล้องกันไหม?  คนคนหนึ่งจะสามารถเป็นคนจีน 100%และก็เป็นคนอิตาลี 100%ได้ไหม?  มันเป็นได้กับการเป็นพลเมืองสองสัญชาติคือจีนอิตาเลียน  แต่ผมกำลังพูดในแง่ของเชื้อชาติ  คนคนหนึ่งจะมีเชื้อชาติจีน 100%และเชื้อชาติอิตาเลียน 100%ได้ไหม?  คงไม่มีแน่นอน แม้เราอาจจะพูดอย่างมีเหตุมีผลว่า ส่วนหนึ่งเขาเป็นคนจีนและอีกส่วนหนึ่งเป็นคนอิตาเลียนก็ตาม

       ให้เราเลือกอีกตัวอย่างหนึ่ง  วัตถุอันหนึ่งจะเป็นรูปทรงกลมกับรูปทรงสี่เหลี่ยมในเวลาเดียวกันได้ไหม?  เรากำลังพูดเรื่องเหลวไหลอยู่ใช่ไหม?  แต่น่าแปลกใจที่ในศาสนศาสตร์เราสามารถจะพูดเรื่องเหลวไหลแบบนี้ได้และคิดเอาว่าเรากำลังพูดเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่  เราจะหาทางออกในเรื่องนี้อย่างไร?  ก็หาทางออกด้วยการเรียกว่า “เป็นความล้ำลึก” เพื่อให้ความล้ำลึกนี้ช่วยครอบคลุมทุกคำถามทุกข้อโต้แย้งและทุกเรื่องที่ไม่สามารถจะเข้าใจได้  ยิ่งกว่านั้นยังกล่าวไว้ว่าทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า  แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า  เพราะด้วยคำนิยามแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะตรัสสิ่งที่เหลวไหล   พระเจ้าจะตรัสสิ่งที่เหลวไหลและเรียกสิ่งนั้นว่าความจริงได้หรือ?  ก็ไม่อย่างแน่นอนที่พระเจ้าจะทรงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระองค์  พระเจ้าจะทำสิ่งชั่วร้ายหรือทำผิดด้วยการโกหกไม่ได้  สิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้าเพราะเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระองค์  และเมื่อพิจารณาตามคำนิยามแล้วเราไม่สามารถจะพูดว่าวัตถุอันนั้นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมและรูปทรงกลมในเวลาเดียวกัน

       แล้วเรื่องการเป็นพระเจ้า 100%และมนุษย์ 100%ล่ะ?  พระเจ้าทรงไม่มีขีดจำกัด แต่มนุษย์มีขีดจำกัด คนคนเดียวกันจะมีทั้งไม่มีขีดจำกัดและมีขีดจำกัดในเวลาเดียวกันได้อย่างไร?  นั่นเป็นไปไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าจะตายไม่ได้เพราะพระองค์ทรงเป็นอมตะ  เปาโลกล่าวว่า “บัดนี้ขอพระเกียรติและพระสิริมีแด่จอมราชันองค์นิรันดร์ผู้ทรงอมตะ และเราไม่อาจมองเห็นได้ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่ผู้เดียวตลอดกาลสืบๆไปเป็นนิตย์อาเมน(1ทิโมธี1:17  ฉบับNIV)  คำว่า “ทรงอมตะ” (immor­tal) หมายความว่าพระเจ้าไม่มีวันตาย  แต่มนุษย์ต้องตาย   ที่จริงแล้วคำนามภาษาอังกฤษว่า “mor­tal” หมายถึง “มนุษย์”  คุณสมบัติที่แท้จริงของมนุษย์ก็คือการที่เขาต้องตาย  จะเป็นไปได้อย่างไรที่คนคนเดียวกันจะเป็นทั้งผู้ที่ต้องตายและผู้ที่ไม่มีวันตายในเวลาเดียวกัน?

           ยากอบ 1:13 กล่าวไว้ว่า “เพราะความชั่วไม่อาจล่อลวงพระเจ้าได้” (ฉบับNIV)  แต่มนุษย์ถูกล่อลวงได้และมนุษย์พ่ายแพ้กับการล่อลองเหมือนกับอาดัม  มนุษย์สามารถถูกล่อให้หลง พระเจ้าไม่สามารถจะถูกล่อให้หลงได้ คนคนเดียวกันจะเป็นทั้งผู้ที่ถูกความชั่วล่อลวงและเป็นผู้ที่ไม่ถูกความชั่วล่อลวงได้อย่างไร?

           เมื่อผมมองย้อนกลับไป ผมได้สอนเรื่องที่เหลวไหลไปเต็มๆและผมก็ไม่รู้ตัว เพราะทุกอย่างถูกครอบคลุมด้วยคำว่า “ความล้ำลึก”  คุณอาจจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับ “ความล้ำลึก” ของคุณเอาเอง  แต่ในพระคัมภีร์นั้นความล้ำลึกไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เกินความเข้าใจ  พจนานุกรมพระคัมภีร์ฉบับนิวไบเบิ้ลดิกชันนารี[35] พิมพ์ครั้งที่3ในหัวข้อ “ความล้ำลึก”พูดไว้ว่า

แต่ “ความล้ำลึก” (mystery)ในความหมายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันคือความลับที่ยังหาคำตอบไม่ได้  แต่นี่ไม่ใช่ความหมายของคำ “mystērion[36]ในภาษากรีกของพระคัมภีร์และภาษากรีกดั้งเดิม ในพระคัมภีร์ใหม่คำ mystērion” หมายถึงความลับซึ่งยังลึกลับที่กำลังเปิดเผยหรือได้ถูกเปิดเผย และพระเจ้าจำเป็นต้องเปิดเผยให้มนุษย์ได้รู้โดยพระวิญญาณของพระองค์  คำนี้จึงใกล้เคียงมากกับคำในพระคัมภีร์ใหม่ว่า “apokalypsis” คือ “การเปิดเผย”  คำว่า “Mystērion” เป็นความลับชั่วระยะหนึ่งซึ่งเมื่อได้เปิดเผยให้รู้และเข้าใจก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป

     คำว่า “ความล้ำลึก” ในพระคัมภีร์หมายถึงสิ่งที่ถูกซ่อนไว้แต่ขณะนี้ได้ถูกเปิดเผย และที่มนุษย์ไม่สามารถจะค้นพบด้วยสติปัญญาของเขาเอง  เพราะหากคุณรู้อะไรบางอย่างด้วยสติปัญญาของคุณเอง ก็ไม่จำเป็นต้องมีการเปิดเผย   การเปิดเผยคือส่วนสำคัญของความล้ำลึก  สิ่งที่คุณไม่รู้มาก่อนในขณะนี้ได้ถูกเปิดเผย แต่ “ความล้ำลึก” ได้ถูกบิดเบือนในศาสนศาสตร์ให้หมายถึงสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เหลวไหล

     เราได้พูดกันเยอะถึงเรื่องที่เหลวไหลในยุคของเราในนามของศาสนาและความเชื่อของคริสเตียน  มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตื่นขึ้น  นี่ทำให้ต้องเร่งด่วนยิ่งขึ้นเพราะความจริงในการนมัสการพระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดนั้นเราได้ให้พระเยซูมาเป็นจุดศูนย์กลางของการนมัสการและความรักภักดีของเราแทนที่พระยาห์เวห์  มันเป็นบาปที่ร้ายแรงที่ผลักพระยาห์เวห์ออกไปและเรียกพระองค์ว่า “พระบิดา” ในความหมายที่ต่างจาก “พระบิดา” ที่พระเยซูทรงเข้าใจ ความคิดเกี่ยวกับพระบิดาของความเชื่อในตรีเอกานุภาพได้พัฒนาขึ้นในช่วงสองสามร้อยปีหลังช่วงสมัยของพระเยซู ช่วงหลายปีของการก่อตัวขึ้นนี้หลักคำสอนของพระเจ้าถูกดัดแปลงแก้ไขอย่างถึงขีดสุด เพราะปรัชญากรีกซึ่งเป็นของคนต่างชาติกำลังยึดครองศาสนศาสตร์ของคริสเตียนและเปลี่ยนให้เป็นการเชื่อในพระเจ้าหลายองค์นั่นก็คือพรางตัวกลายๆว่าเป็นความเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวเพียงแต่ชื่อ

พระยาห์เวห์ได้เสด็จมา       

     ถ้อยความพิเศษเฉพาะของพระคัมภีร์ใหม่และการเปิดเผยของพระกิตติคุณก็คือ พระยาห์เวห์พระเจ้า พระบิดาของเราได้เสด็จเข้ามาในโลก (เรากำลังใช้คำ “พระบิดา” ในความหมายของพระเยซูไม่ใช่ในความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  เราต้องระมัดระวังเมื่อพูดถึง “พระบิดา”  เพราะด้วยพื้นหลังความเชื่อในตรีเอกานุภาพของเรานั้นเราอาจพูดถึงพระบิดาว่าเป็นหนึ่งในสามองค์ได้ง่ายๆ)

     พระเจ้าผู้สูงสุด พระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและเป็นจอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวงได้เสด็จลงมาด้วยตัวพระองค์เองเพื่อช่วยคุณและผมให้รอด ความเชื่อในตรีเอกานุภาพจะมีถ้อยความที่ดีกว่านั้นไหม? เราได้สูญเสียถ้อยความที่น่ามหัศจรรย์ไปเพราะเราบอกว่าผู้ที่ได้เสด็จมาไม่ใช่พระยาห์เวห์แต่เป็นบุคคลอื่น  นี่จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราไม่ได้รักพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของเรา สุดจิตของเรา สุดความคิดของเรา และสุดกำลังของเรา  เราจะรักพระองค์ได้อย่างไรถ้าเราคิดว่าสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระองค์ทรงเคยทำเพื่อเราก็คือส่งผู้อื่นมาตายเพื่อเรา?  ในที่สุดองค์ผู้เป็นเจ้าได้ให้ผมตื่นขึ้นและเห็นความจริงนี้

     ที่ผ่านมาผมได้สอนวิธีอธิษฐานที่เรียกว่าโคเฮน[37] (คำย่อของ “การร้องออกพระนามนิรันดร์ของพระเจ้า”)  เมื่อเร็วๆนี้ผู้ร่วมงานบางคนถามผมว่าเราจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ อันที่จริงแล้วไม่มีปัญหา  สิ่งที่คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงก็คือ ในชื่อของพระเยซูมีพระยาห์เวห์อยู่  พระเจ้าทรงเห็นควรด้วยพระปัญญาของพระองค์  ชื่อ “เยซู” มีความหมายว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด” หรือ “พระยาห์เวห์ทรงเป็นความรอด” ดังนั้นในการทำโคเฮนร้องออกพระนามนิรันดร์นั้น คุณไม่ได้แค่ร้องออกพระนามพระเยซูเท่านั้น คุณกำลังร้องออกพระนาม “พระยาห์เวห์ผู้ที่ช่วยให้รอด” ด้วย  ถ้าคุณทำโคเฮนแบบนี้ คุณก็กำลังร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์ผู้ที่ได้เสด็จมาในองค์พระคริสต์เพื่อช่วยเราให้รอด

     พระประสงค์ของพระยาห์เวห์ในการเสด็จเข้ามาในโลกก็เพื่อทำการสร้างใหม่ พระองค์ได้ทรงทำการสร้างครั้งแรกและตอนนี้พระองค์ทรงทำการสร้างใหม่ในพระคริสต์และโดยทางพระคริสต์  ในเมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงมอบหมายให้ใครอื่นมาทำงานการสร้างครั้งแรกให้เสร็จลุล่วง ดังนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ส่งใครอื่นมาทำให้ความรอดของเราเสร็จลุล่วง  ด้วยเหตุนี้เราจึงถูกเรียกให้รักพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเรา ด้วยสุดจิตของเรา  ด้วยสุดความคิดของเรา และด้วยสุดกำลังของเรา  เมื่อนั้นแหละเราจึงจะทำให้คำสอนของพระคัมภีร์เดิมในเฉลยธรรมบัญญัติ6:4-5และคำสอนของพระเยซูในมาระโก 12:29-30สำเร็จ  พระคัมภีร์ตอนหลังได้ยืนยันพระคัมภีร์ตอนแรกอีกครั้ง

           ผมหวังว่าเมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามในพระคัมภีร์แล้ว ไฟจะจุดขึ้นในหัวใจของเราเพื่อพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผมหวังว่าเราจะไม่นมัสการผู้อื่นเป็นจุดศูนย์กลางของความรักภักดีของเรา ก่อนที่ผมจะจากโลกนี้ไปผมอยากให้วัตถุประสงค์นี้สำเร็จโดยพระคุณของพระเจ้า ที่คนทั้งหลายจะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราด้วยความรักภักดีและความจดจ่ออย่างทั้งหมดโดยไม่หันเหหรือถูกหลอกด้วยคำสอนที่ผิด

การเกิดจากหญิงพรหมจารี

     บทบาทของพระเยซูในการสร้างใหม่คืออะไร?  บทบาทของพระองค์มีความสำคัญอย่างมาก การสร้างใหม่ในพระคริสต์เริ่มต้นด้วยการเกิดจากหญิงพรหมจารี  จงลองคิดถึงเรื่องการเกิดจากหญิงพรหมจารีกันสักครู่

      ผมได้อ่านคำวิจารณ์ที่ค่อนข้างแรงของชาวมุสลิมเกี่ยวกับมุมมองของคริสเตียนเรื่องการเกิดจากหญิงพรหมจารี  การเกิดจากหญิงพรหมจารีเป็นสิ่งสำคัญในศาสนาอิสลามที่เห็นจากคัมภีร์กุรอานอย่างน้อยสองตอนที่กล่าวถึงการเกิดจากหญิงพรหมจารีของอีซ[38](คือพระเยซูที่รู้จักกันในศาสนาอิสลาม) ที่มีความยาวและละเอียดกว่าในพระคัมภีร์ใหม่

     พระคัมภีร์ใหม่กล่าวว่าภาวะตั้งครรภ์พระเยซูนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาเหนือและปกนางมารีย์  มันทำให้เรานึกถึงวิธีการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือแผ่นดินที่ไม่มีรูปร่างในการทรงสร้างครั้งแรก (ปฐมกาล 1:2)[39]  พระวิญญาณปกอยู่เหมือนนกโฉบอยู่เหนือพื้นผิวที่ไม่มีรูปร่างด้วยจุดประสงค์เพื่อเตรียมรังสำหรับการสร้าง เหมือนรังเตรียมไว้ให้นกวางไข่  รังนี้ก็ถูกเตรียมไว้สำหรับมนุษย์เพื่อจะได้มาอยู่ ทวีขึ้น เกิดผลฝ่ายวิญญาณ และสำเร็จตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ในตอนตั้งครรภ์พระเยซู  พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาเหมือนนก ปกอยู่กับมารีย์  การสร้างใหม่ในพระคริสต์ได้เริ่มต้นขึ้น

     ตามพระคัมภีร์ใหม่และคัมภีร์กุรอานแล้วเวลานั้นมารีย์ยังไม่ได้รู้จักชายใด แล้วเธอจะตั้งครรภ์ได้อย่างไร?  นักศึกษาวิชาชีววิทยาทุกคนจะรู้ว่าถ้าไม่มีสเปิร์ม[40] ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการกำเนิดขึ้น  นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะต้องสร้างสเปิร์มเพราะไม่เช่นนั้นจะมีวิธีใดอีกที่จะทำให้มารีย์ตั้งครรภ์ได้? นี่ไม่ใช่ทฤษฎีที่เป็นไปไม่ได้แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้  อันที่จริงนั่นเป็นสิ่งที่คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ อัลเลาะห์กล่าวว่า “จงเกิด” แล้วก็เกิดสิ่งนั้น  คำสั่งเช่นนี้เป็นการดำเนินการสร้างและสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นเมื่ออัลเลาะห์กำลังจะสร้างบางสิ่ง  พระองค์ตรัสว่า “จงเกิด” แล้วก็เกิดสิ่งนั้น  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในการสร้างครั้งแรกและต่อมาก็เกิดขึ้นอีกครั้งกับการบังเกิดของพระเยซู  มีการสร้างใหม่จริงๆ  สเปิร์มได้ถูกสร้างขึ้นและเด็กคนหนึ่งได้บังเกิดขึ้น  ถ้อยความสำคัญของการเกิดจากหญิงพรหมจารีก็คือ พระเจ้าในพระคริสต์กำลังให้กำเนิดสิ่งสร้างใหม่ พระยาห์เวห์เสด็จลงมาเพื่อทำการสร้างนี้ให้สำเร็จและตอนนี้พระองค์สถิตอยู่ในพระเยซู

     พระเยซูทรงมีเชื้อสายของอาดัมทางฝ่ายมารดาของพระองค์  ลำดับวงศ์ตระกูลบรรพบุรุษของพระเยซูมาจากอาดัม  พระเยซูทรงมีส่วนร่วมกับการสร้างเก่าทางมารดาของพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างใหม่ด้วย  เป็น “ผลแรก” ของการสร้างใหม่ทางการฟื้นคืนพระชนม์  (1โครินธ์ 15:23)[41]

           นี่คือถ้อยคำที่น่าอัศจรรย์ เราไม่จำเป็นจะต้องถูกครอบงำด้วยหลักคำสอนของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพและหลักคำสอนของคริสเตียนตะวันตกในเรื่องความเสื่อมทรามของมนุษย์  คริสตจักรโรมันคาทอลิกให้มีหลักคำสอนเรื่องการกำเนิดอย่างบริสุทธิ์ปราศจากบาป[42]ที่ไม่มีหลักฐานในพระคัมภีร์แม้แต่น้อย ถ้าจะพูดกันแล้วหลักคำสอนนี้ถูกคิดขึ้นภายหลังประวัติศาสตร์ของคริสตจักรคาทอลิก

     ไม่มีความจำเป็นต้องมีหลักคำสอนเช่นนั้น  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่า มนุษย์มีความสามารถที่จะทำบาป เขาไม่ได้เลวทรามทางศีลธรรมจนถึงแก่นแท้ของเขาเพราะการสืบทอดบาปจากอาดัม  หลักคำสอนเรื่องบาปแต่กำเนิดกล่าวโทษอาดัมว่าเป็นต้นเหตุของความบาปของเราเพราะเรารับการสืบทอดบาปและมลทินบาปจากเขา  ผมจะไม่เข้าไปในรายละเอียดเรื่องนี้เพราะผมได้พูดถึงหัวข้อนี้ในชุดคำสอนเรื่องพระฉายาของพระเจ้า

     ในการเกิดจากหญิงพรหมจารีได้มีการรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริงของพระเจ้าและมนุษย์ ของพระยาห์เวห์และพระเยซูและนี่จึงทำให้พระเยซูมีความสำคัญอย่างมาก  สิ่งที่เห็นตรงข้ามกันก็คือความเชื่อในตรีเอกานุภาพแสดงข้อคิดเห็นว่ามีการรวมเป็นหนึ่งทางกายที่เข้าใจได้ยากที่พระเจ้ากับมนุษย์มารวมกายกันอย่างละครึ่งแบบลูกผสมที่เป็นทั้งพระเจ้าและเป็นมนุษย์ ถ้าการรวมเป็นหนึ่งนี้ทำให้พระเยซูมีส่วนหนึ่งเป็นพระเจ้าและอีกส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์ก็จะทำให้พระองค์ไม่เป็นทั้งพระเจ้าจริงๆหรือมนุษย์จริงๆ  แต่ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เราก็สามารถพูดถึงพระองค์ได้ทำนองเดียวกันว่าพระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าจริงๆหรือเป็นมนุษย์จริงๆ  ไม่มีทางที่จะหนีความเป็นเหตุเป็นผลในเรื่องนี้ไปได้  ถ้ามีการรวมเป็นหนึ่งทางกายที่เข้าใจได้ยากซึ่งไม่ใช่การรวมเป็นหนึ่งทางจิตวิญญาณแล้ว  สิ่งที่เราจะมีก็คือพระเยซูผู้ที่ไม่ใช่ทั้งพระเจ้าหรือมนุษย์  มนุษย์ก็คือคน 100% และถ้าพระองค์เป็นคนน้อยกว่า 100% พระองค์ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์แท้อีกต่อไป

พระเจ้าในพระคริสต์

     การรวมเป็นหนึ่งได้เกิดขึ้นและเป็นการรวมเป็นหนึ่งที่ทรงพลานุภาพที่สุดที่เกิดขึ้นได้ในจักรวาล  นี่คือการรวมเป็นหนึ่งในทางจิตวิญญาณของพระเจ้ากับมนุษย์ ในการบังเกิดของพระเยซูนั้นพระเจ้ามาสถิตในมนุษย์เป็นครั้งแรก  สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนไม่ว่าจะในพระคัมภีร์เดิมหรือที่อื่นใด  ก่อนหน้านี้ในพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าได้ตรัสกับบรรดาผู้เผยพระวจนะ และพระวิญญาณของพระเจ้าได้เสด็จมาเหนือบางคนแต่ก็ไม่มีใครเคยเป็นพระวิหารที่พระยาห์เวห์เคยสถิตอยู่ภายใน โคโลสี 2:9[43]บอกเราว่าความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้าพร้อมด้วยฤทธานุภาพและพระลักษณะทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงบางส่วนของพระเจ้าแต่เป็นความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้าดำรงอยู่ในพระกายของพระคริสต์  ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระเจ้าหรือหนึ่งในสามส่วนของพระเจ้า แต่เป็นความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้าที่ดำรงอยู่ในพระกายของพระคริสต์ นั่นคืออานุภาพของการรวมเป็นหนึ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำที่ประทับของพระองค์ในผู้ที่น่าแปลกใจที่ชื่อพระเยซูนี้

      ส่วนที่เหลือในบทนี้เราจะดูชีวิตของพระเยซูตามที่บันทึกไว้ในพระกิตติคุณ เพื่อจะเห็นว่าทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำนั้น กระทำโดยพระยาห์เวห์ผู้ที่พระเยซูทรงเรียกว่าพระบิดาของพระองค์ แต่ไม่ใช่พระบิดาในความหมายของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ  ทุกสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำนั้นแท้จริงแล้วพระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้ทำงานอยู่ในพระองค์  และนี่เองที่การกระทำหลายอย่างของพระเยซูจึงดูคล้ายกันอย่างเด่นชัดกับสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเคยกระทำในพระคัมภีร์เดิม  เมื่อพระเยซูทรงเลี้ยง5,000และ4,000คนในถิ่นทุรกันดารเราจะนึกถึงพระยาห์เวห์ทันทีที่ทรงเลี้ยงชาวอิสราเอลมากมายในทะเลทราย  ความเกี่ยวโยงกันนั้นชัดเจน และพระเยซูก็ทรงเน้นย้ำเองเมื่อทรงเลี้ยงคน5,000คน  พระองค์ตรัสว่า บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร” (ยอห์น6:49)

      เนื่องจากการรวมเป็นหนึ่งทางจิตวิญญาณที่น่าทึ่งนั้นทำให้การกระทำของพระเยซูจึงดูเหมือนการกระทำของพระยาห์เวห์อย่างมาก ความคล้ายคลึงกันอย่างสมบูรณ์จึงเป็นไปได้เพราะพระเยซูทรงร่วมมือกับพระยาห์เวห์ทุกประการ พระเยซูเป็นผู้ที่พระประสงค์ของพระยาห์เวห์สามารถเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์  นั่นเป็นเหตุผลที่พระเยซูไม่เคยทำบาปแม้ว่าพระองค์จะทรงถูกทดลองเหมือนเราทุกประการ (ฮีบรู 4:15)[44]พระเจ้าจะถูกทดลองไม่ได้ แต่พระเยซูสามารถจะถูกทดลองได้และพระองค์ก็ทรงถูกทดลองอย่างหนัก  นี่คือพระเกียรติสิริของพระเยซู  พระองค์ทรงเชื่อฟังพระยาห์เวห์อย่างสมบูรณ์ขณะที่เราไม่เป็นเช่นนั้น  แต่เราสามารถปรารถนาที่จะมีความสมบูรณ์แบบอย่างของพระองค์ได้เหมือนที่อัครทูตเปาโลปรารถนาโดยกล่าวว่าแม้เขายังไปไม่ถึงความสมบูรณ์แบบนั้น  เขาก็จะบากบั่นต่อไปให้ถึง (ฟีลิปปี 3:12)สิ่งที่เรากำลังบากบั่นมุ่งไปนั้นได้สำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ผู้เป็นมนุษย์

     เราต้องจำไว้ว่าในความเชื่อตรีเอกานุภาพนั้นพระเยซูเป็นพระเจ้ามากกว่าเป็นมนุษย์  ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์บดบังความเป็นมนุษย์ของพระองค์ นั่นคือเหตุผลที่ผมสอนเหมือนที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพสอนว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าในทุกเจตนารมณ์และความมุ่งหมาย ด้วยเหตุนี้เองบรรดาคริสเตียนจึงพูดถึงพระเยซูว่าเป็นพระเจ้าและสงวนท่าทีที่จะพูดถึงพระเยซูว่าเป็นมนุษย์ แต่แม้เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเราก็ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์  เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเราคงจะไม่ได้รับความรอด  โรม 5:19 กล่าวว่า  “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมาก​​เป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนชอบธรรมฉันนั้น” (ฉบับNIVบาปของมนุษย์ต้องลบล้างโดยมนุษย์ไม่ใช่โดยพระเจ้า แม้แต่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพก็ยังยอมรับความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์  

     มีสิ่งสำคัญบางอย่างที่เราต้องเข้าใจก็คือ ไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์ใหม่ที่ขอให้เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า นั่นเป็นสิ่งที่ความเชื่อในตรีเอกานุภาพคิดขึ้น  แต่ถ้าพิจารณาตามพระคัมภีร์ในการที่พระเยซูทรงเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าความรอดของเราขึ้นอยู่กับการเป็นมนุษย์ของพระองค์

     ภาพที่ผมกำลังวาดให้เห็นอย่างกว้างๆก็คือ พระเยซูผู้เป็นมนุษย์แท้เป็นร่างที่พระยาห์เวห์สถิตอยู่ พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ พระเยซูทรงเป็นมนุษย์แท้ ทั้งสองได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่การรวมเป็นหนึ่งทางกายที่สับสนเข้าใจยาก  แต่เป็นการรวมเป็นหนึ่งทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง  คนที่รวมตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ผู้เป็นเจ้า ก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในจิตวิญญาณ (1 โครินธ์ 6:17เราก็มีประสบการณ์การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าด้วยแม้ว่าจะไม่ใช่ในระดับเดียวกับที่พระเยซูทรงรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า แต่นี่ก็เป็นการรวมเป็นหนึ่งในแบบที่พระเยซูทรงต้องการให้เรามี!เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังที่พระบิดาทรงอยู่ในข้าพระองค์และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วยเพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา(ยอห์น17:21ฉบับNIV)

     พระเยซูต้องการให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าเพื่อที่จุดประสงค์ของการสร้างใหม่จะสำเร็จ คุณจะคุ้นกับการสร้างใหม่จาก 2 โครินธ์ 5:17[45] และกาลาเทีย 6:15 ที่เปาโลพูดว่า “เพราะว่าจะเข้าสุหนัตหรือไม่นั้นไม่สำคัญอะไรแต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ”  ประเด็นสำคัญของการสร้างใหม่ก็คือพระเยซูทรงเป็นหัวปีของการสร้างใหม่และเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระยาห์เวห์ นั่นก็คือเหตุผลเดียวว่าทำไมเราจะได้พิพากษาเหล่าทูตสวรรค์ เพราะถ้าไม่ได้รวมเป็นหนึ่งกับพระยาห์เวห์พระเจ้า ก็จะไม่มีใครสามารถพิพากษาเหล่าทูตสวรรค์ได้มีการรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าพระบิดาของเราเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถพิพากษาเหล่าทูตสวรรค์และครองร่วมกับพระองค์ได้

ความทุกข์ทรมานของพระเจ้า

     เรามาถึงจุดสำคัญคือเรื่องกางเขนหรือความตายของพระคริสต์ที่เป็นคำไขของทุกสิ่ง เรื่องของกางเขนจะเข้าใจในมุมมองของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ได้อย่างไร?  เมื่อองค์ผู้เป็นเจ้าทรงเปิดตาของผมตามลำดับ ผมจึงเข้าใจจากภาพที่สวยงามในเศคาริยาห์ 12:10

เราจะเทวิญญาณแห่งพระคุณและการวิงวอนกับวงศ์วานของดาวิดและผู้อาศัยในเยรูซาเล็มเพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายมองดูเราผู้ซึ่งพวกเขา​​ได้แทงและพวกเขาจะไว้ทุกข์เพื่อท่านเหมือนคนไว้ทุกข์เพื่อบุตรคนเดียวของตนและพวกเขาจะร่ำไห้อย่างขมขื่นเพื่อท่านเหมือน​​คนร้องไห้เพื่อบุตรหัวปีของตน(ฉบับNASB)

           ในพระคัมภีร์ฉบับนิวอเมริกันแสตนดาร์ด คำว่า “เรา[46] ใช้อักษรตัวใหญ่หมายถึงพระยาห์เวห์  เพื่อว่า “เมื่อเขาทั้งหลายมองดูเราผู้ซึ่งพวกเขา​​ได้แทง” จึงหมายถึงพระยาห์เวห์ คำว่า “ได้แทง” ในภาษาฮีบรูหมายถึงแทงด้วยทวน ด้วยดาบ หรือด้วยตะปู อุปสรรคของความเชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ได้อยู่ที่ความหมายของคำว่า “ได้แทง” แต่อยู่ที่ความจริงว่าเป็นพระยาห์เวห์ผู้ทรงถูกแทง นั่นเป็นคำกล่าวที่น่าแปลกใจมาก

     ข้อนี้จะเป็นจริงไม่ได้ถ้าพระยาห์เวห์ไม่เคยสถิตอยู่ในพระเยซู  เพราะไม่เช่นนั้นจะมีทางไหนอีกที่พระยาห์เวห์จะถูกแทง?  แม้แต่นักอธิบายพระคัมภีร์ที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ เช่น นักวิชาการพระคัมภีร์เดิมอย่างคีลและเดอลิซช์ก็ยอมรับว่า การอ้างอิงตรงนี้ก็คือพระเยโฮวาห์หรือพระยาห์เวห์ ส่วน “เรา” ในเศคาริยาห์ 12:10นั้นคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ของคีลและเดอลิซช์กล่าวไว้ว่า “ดูตามข้อ 1[47] แล้วนี่คือพระเยโฮวาห์ พระผู้สร้างฟ้าและแผ่นดิน” (เล่ม 10หน้า 841)

     คีลและเดอลิซช์ควรได้รับคำชมที่ยอมรับว่าเศคาริยาห์กำลังพูดถึงพระเยโฮวาห์หรือพระยาห์เวห์  ในคู่มืออธิบายพระคัมภีร์หน้าเดียวกันนั้น พวกเขาพูดบางอย่างที่น่าคิดยิ่งขึ้นว่า “เศคาริยาห์ได้ย้ำให้เห็นถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ว่าเป็นการเสด็จมาของพระเยโฮวาห์ใน มาลัค[48] (คำฮีบรูที่หมายถึง “ผู้สื่อสาร”) ของพระองค์มายังประชากรของพระองค์  ตามมุมมองนี้เขายังสามารถอธิบายถึงการฆ่า มาลัค’ ซึ่งก็เหมือนกับการฆ่าพระเยโฮวาห์”  มีความจริงบางส่วนตามคำกล่าวนั้น

     พระเจ้าได้เสด็จเข้ามาในพระกายพระเยซู และการอิทธิฤทธิ์ทั้งสิ้นที่พระเยซูได้ทรงกระทำนั้นพระเยซูทรงยอมรับว่ากระทำโดยฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์  เปโตรพูดในคำเทศนาแรกของเขากับชาวยิวว่า “ชน​​อิสราเอล ขอจงฟังสิ่งนี้ พระเยซูแห่งนาซาเร็ธผู้ที่พระเจ้าทรงรับรองโดยการอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์และหมายสำคัญต่างๆซึ่งพระเจ้าได้ทรงทำผ่านพระองค์ท่ามกลางพวกท่าน ตามที่ท่านเองทราบอยู่แล้ว” (กิจการ2:22 ฉบับNIVเปโตรกำลังบอกคนทั้งหลายว่าทุกสิ่งที่พวกเขาได้เห็นพระเยซูกระทำนั้นกระทำโดยพระเจ้าเองคือพระยาห์เวห์  นี่ยิ่งเป็นการขยายคำที่พูดเพราะพระเยซูตรัสว่า “คำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเราแต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” (ยอห์น14:24)

     สิ่งที่จะทำให้เราต้องแปลกใจก็คือ ถ้อยคำที่พระเยซูตรัสในคำเทศนาบนภูเขานั้นเป็นถ้อยคำของพระยาห์เวห์ล้วนๆ!  พระยาห์เวห์ประทานพระบัญญัติให้กับประชากรของพระองค์ทางโมเสสอย่างไร  พระยาห์เวห์ก็ประทานพระดำรัสของพระองค์ (เช่น คำเทศนาบนภูเขา) ทางพระเยซูคริสต์อย่างนั้น  คุณรู้ตัวไหมว่า เมื่อคุณกำลังอ่านคำเทศนาบนภูเขานั้น คุณกำลังฟังคำสอนของพระยาห์เวห์อยู่?

     เรื่องทั้งหมดนี้น่าอัศจรรย์แต่ก็ยังมีอะไรมากกว่านี้คือ ความทุกข์ทรมานทั้งสิ้นของพระเยซูนั้นเป็นความทุกข์ทรมานของพระยาห์เวห์!  หากคุณไม่ทราบความจริงนี้ แล้วคุณจะสามารถรักพระเจ้าอย่างสุดใจ อย่างสุดจิต อย่างสุดความคิด และอย่างสุดกำลังของคุณได้อย่างไร? เรากลับสงวนความรักของเราให้กับพระเยซูแทน  เพราะเหตุที่พระเยซูได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อเรา เราจึงสามารถรักพระองค์อย่างสุดใจ และสุดจิต สุดความคิดและสุดกำลังของเราได้เหมือนในเพลงที่ผมได้แต่งเอาไว้ ผมรักพระเยซูอย่างสุดใจของผมเพราะว่าพระองค์เป็นผู้ที่รับความทุกข์ทรมานอย่างที่เราเห็นจาก “เดอะ แพสชั่น ออฟ เดอะ ไครสต์”[49] แต่พระยาห์เวห์ทรงทุกข์ทรมานอะไรบ้าง? ในความคิดของเราแล้วจะเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทุกข์ทรมานอะไรเลย แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดๆเกี่ยวกับพระเจ้า เพราะพระยาห์เวห์ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์ว่า เขาทั้งหลายมองดูเราผู้ซึ่งเขาเองได้แทง

     มันน่าคิดว่าในความทุกข์ทรมานของพระเยซูนั้นพระยาห์เวห์ทรงทุกข์ทรมาน ที่ผ่านมาถ้อยคำในอิสยาห์63:9ว่า “พระองค์ทุกข์ทรมาน ในความทุกข์ทรมานทั้งสิ้นของเขา” (ฉบับโฮลแมนคริสเตียนแสตนดาร์ด)[50]ได้แตะใจผมอย่างมากแต่ผมไม่ได้เอามาเกี่ยวโยงกับพระคริสต์แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ความทุกข์ของชนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารนั้นทำให้พระยาห์เวห์ทรงเป็นทุกข์  เมื่อพวกเขาต้องทุกข์ทรมานพระองค์ก็ทรงทุกข์ทรมาน  และเมื่อพระเยซูทรงทุกข์ทรมานอย่างในเรื่อง “เดอะ แพสชั่น ออฟ เดอะ ไครสต์” ที่พระองค์ถูกโบยตีจนเลือดอาบและพระหัตถ์กับพระบาทของพระองค์ถูกแทงนั้น พระยาห์เวห์ทรงทุกข์ทรมาน

     พระเจ้าทรงทุกข์ทรมานมากยิ่งกว่ามนุษย์คนใดจะทุกข์ทรมานได้ แม้แต่จะคิดเราก็ไม่มีทางจะเข้าใจความทุกข์ทรมานของพระองค์ได้  ใครก็ตามที่แตะต้องคุณผู้เป็นบุตรของพระองค์ ก็เหมือนแตะต้องพระองค์ “เพราะผู้ใด​​แตะต้องเจ้าก็​​แตะต้องแก้วพระเนตรของพระองค์ (เศคาริยาห์2:8 ฉบับNIV)  แก้วตาหมายถึงตาดำ เป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึกมากที่สุดของร่างกาย  เม็ดทรายเพียงเม็ดเดียวที่เข้าตานั้นยังทำให้ระคายเคือง แล้วยิ่งคุณรักใครสักคนมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา  พระเยซูทรงเป็นบุตรที่รัก ทรงเป็นขวัญตาและเป็นที่รักยิ่ง เพราะพระองค์ทรงเชื่อฟังและสัตย์ซื่อต่อพระบิดาจนถึงที่สุด  เราก็เป็นบุตรที่รักด้วยเช่นกัน แต่พระเยซูทรงเป็นที่รักในแบบพิเศษ

           ถ้าใครทำลายวิหารของพระเจ้า ก็ทำลายคนของพระเจ้าที่อยู่ในพระกายของพระคริสต์ พระเจ้าก็จะทรงทำลายเขา (1โครินธ์ 3:17)[51]นั่นคือขนาดของความห่วงใยที่พระยาห์เวห์ทรงมีกับเรา การทำร้ายบุตรของพระเจ้าก็คือการทำร้ายพระยาห์เวห์  พระยาห์เวห์กำลังบอกเราว่า“ผู้ใดที่ยอมรับเจ้า ก็ยอมรับเรา  ผู้ใดที่ปฏิเสธเจ้าก็ปฏิเสธเรา  ผู้ใดที่ปะทะเจ้าก็ปะทะเรา  ผู้ใดที่แทงเจ้าก็แทงเรา”

     เมื่อพระเยซูถูกจับ ถูกเยาะเย้ย ถูกโบยตี และถูกตรึงกางเขน ถ้อยคำของเศคาริยาห์ 12:10 ก็สำเร็จที่พระยาห์เวห์ทรงถูกแทงด้วยตะปูเหล่านั้น  นี่ไม่ได้เป็นคำอธิบายเชิงเปรียบเทียบหรือให้ความหมายทางฝ่ายวิญญาณแต่สำเร็จตรงตามเศคาริยาห์ 12:10  พระยาห์เวห์ทรงถูกตรึงจริงๆอยู่ในพระคริสต์  ถ้าวันหนึ่งเราถูกฆ่าตายด้วยการถูกหินขว้างหรือการถูกกระทำในรูปแบบใดก็ตาม พระยาห์เวห์ก็ทรงทนทุกข์ทรมานกับเราทุกฝีก้าว นั่นคือความลึกซึ้งของการรวมเป็นหนึ่งของพระคริสต์กับพระเจ้า ที่เมื่อพระคริสต์ทรงถูกตรึงองค์ผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริก็ทรงถูกตรึงด้วย (1โครินธ์2:8) โดยที่ “องค์ผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ” เป็นคำอธิบายของพระคัมภีร์เดิมถึงพระยาห์เวห์

     เราได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่าพระยาห์เวห์ทรงอมตะและตายไม่ได้ พระองค์จะทรงทนทุกข์ทรมานจนถึงจุดของความตายแต่พระองค์ไม่สามารถจะตายได้  แต่ความตายยังหมายถึงการสิ้นสุดของความทุกข์ทรมานด้วย  นี่เองบางคนที่ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานจึงอยากจะตาย แต่เพราะพระยาห์เวห์ตายไม่ได้ พระองค์จึงได้ทรงทุกข์ทรมานกับเราจนตลอด เหมือนที่พระองค์ได้ทนทุกข์ทรมานกับมนุษย์พระเยซูคริสต์จนตลอด  เมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ความทุกข์ทรมานก็สิ้นสุดลง

      พวกเราหลายคนเข้าใจยากว่าทำไมพระเยซูจึงทรงร้องเสียงดังที่กางเขนในเวลาบ่ายสามโมงว่า “เอลี เอลีลามา สะบักธานี”ซึ่งมีความหมายว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์พระเจ้าของข้าพระองค์ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?”นี่เป็นคำอ้างอิงจากสดุดี 22:1[52]  ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้เรางง เพราะถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและเป็นมนุษย์ พระเยซูจะถูกพระเจ้าทอดทิ้งได้อย่างไร?และถ้าพระเจ้าไม่สามารถตายได้ อย่างนั้นก็หมายความว่ามีเพียงครึ่งเดียวของพระเยซูเท่านั้นที่ตาย  ส่วนอีกครึ่งหนึ่งไม่ได้ตาย และเราก็จะวนกลับมาที่เรื่องเหลวไหลของความเชื่อในตรีเอกานุภาพอีกเช่นเดิม แต่ถ้าเราหลุดจากความคิดแบบความเชื่อในตรีเอกานุภาพ เราก็จะเห็นว่าในขณะที่พระเยซูตายนั้นพระเจ้าไม่ได้ตาย  แค่ก่อนนาทีแห่งความตายนั้นพระเยซูทรงรู้ว่าทั้งสองพระองค์กำลังจะแยกจากกัน  ความทุกข์ทรมานทั้งสิ้นจะสิ้นสุดลงแต่พระยาห์เวห์จะต้องปล่อยให้พระเยซูตายตามลำพัง ทั้งหมดนี้สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ในคำสอนที่เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว  แต่ที่ผ่านๆมาผมไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัส

      เมื่อถึงจุดนั้นพระยาห์เวห์ต้องไปจากพระเยซู  แล้วไม่กี่อึดใจต่อมาในเวลาบ่ายสามโมงเช่นกัน  พระเยซูได้ตรัสว่า “ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลูกา23:46)  พระองค์ยังคงพูดคุยกับพระยาห์เวห์  ณ จุดนั้นเองพระองค์กำลังจะมารวมเป็นหนึ่งกับพระยาห์เวห์อีกครั้งเพราะจิตวิญญาณของพระองค์กำลังจะถูกมอบฝากให้กับพระยาห์เวห์  พระเยซูได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระยาห์เวห์อีกครั้งหลังจากแยกกันช่วงสั้นๆตรงความตาย แม้ขณะที่พระเยซูเสด็จลงไปยังแดนคนตายเพื่อประกาศกับเหล่าวิญญาณที่นั่น (1เปโตร 3:19) พระยาห์เวห์ก็ทรงอยู่กับพระองค์ สดุดี139:8กล่าวว่า “ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์พระองค์ก็สถิตที่นั่นถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดนคนตายพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น”  สิ่งนี้สำเร็จเมื่อพระยาห์เวห์ได้เสด็จลงไปยังแดนคนตายด้วยกันกับพระคริสต์ นี่เป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์และน่าประหลาดใจจริงๆ

      และในช่วง 40วันที่อยู่บนโลกหลังจากคืนพระชนม์ พระเยซูได้ทำสิ่งที่คล้ายกับที่พระยาห์เวห์เคยทำในพระคัมภีร์เดิม  พระเยซูทรงเตรียมอาหารเช้าและปลาย่างสำหรับสาวกของพระองค์ในแคว้นกาลิลี  (ยอห์น 21:12,13)  ผมสามารถหลับตามองเห็นว่าเป็นที่ไหน  พวกเราที่เคยไปอิสราเอลและได้เดินรอบๆทะเลสาบกาลิลีจะรู้ว่า สถานที่นี้อยู่ใกล้คาเปอรนาอูมทางด้านเหนือของทะเลสาบกาลิลีที่ที่เหล่าสาวกจับปลา และพระเยซูทรงอยู่บนฝั่งกำลังเตรียมอาหารเช้าให้พวกเขาแต่เช้า  นี่ไม่คล้ายกับสิ่งที่พระยาห์เวห์เคยทำให้กับชนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารหรอกหรือ?

      หลังสิ้นสุดสี่สิบวัน พระเยซูได้เสด็จขึ้นไปและถูกรับขึ้นไปกับพระบิดาพระยาห์เวห์ของพระองค์ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งสองพระองค์ไม่เคยแยกจากกัน ทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นไปด้วยกัน ได้ถูกรับเข้าสู่พระสิริ  ผมสามารถจินตนาการออกว่าบรรดาชาวสวรรค์กำลังร้องฮาเลลูยาที่สนั่นก้องทั่วฟ้าสวรรค์และโลก ต้อนรับพระยาห์เวห์พร้อมด้วยพระคริสต์กลับสู่สวรรค์  นั่นอัศจรรย์เยี่ยมยอดจริงๆ

       สดุดี 150 สดุดีบทสุดท้ายที่เขียนขึ้นเพื่อใช้สรรเสริญ  ในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ “ฮาเลลูยา”[53] จะแปลว่า “สรรเสริญพระเจ้า” (Praise the LORD) ที่คำว่า “พระเจ้า” (LORD) กล่าวถึงพระยาห์เวห์  ทุกบรรทัดในสดุดี 150 จะเริ่มต้นด้วย “สรรเสริญพระเจ้า”[54] หรือ “สรรเสริญพระยาห์เวห์” ซึ่งเป็นความหมายของ “ฮาเลลูยา”  คำว่า“ฮาเลล” (Hallel) หมายถึง “สรรเสริญ”  และ “ยาห์” (yah) เป็นคำสั้นๆของยาห์เวห์ซึ่งปรากฏ 60ครั้งในพระคัมภีร์เดิม  ดังนั้น “ฮาเลลูยา” จึงหมายถึง “สรรเสริญพระยาห์เวห์”  เมื่อพระยาห์เวห์พร้อมด้วยพระคริสต์เสด็จกลับสู่สวรรค์  บรรดาชาวสวรรค์อาจกำลังร้องเพลงสดุดี 150ก็เป็นได้!

     ผมอธิษฐานว่า องค์ผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยให้คุณมองเห็นความงดงามจากถ้อยคำของพระคัมภีร์ใหม่  เราไม่ได้สูญเสียอะไรเลยเมื่อมาเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวตามพระคัมภีร์ แต่เราได้รับทุกอย่าง ได้หลุดจากความคิดที่ผิดๆ ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพในที่สุด  ผมหวังว่าท้ายที่สุดนี้เราจะเรียนรู้ที่จะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราและรักพระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้าของเรา  เพราะถ้าไม่มีพระเยซูเราก็จะไม่ได้รับความรอด  พระองค์ทรงเป็นทางที่ไปถึงพระบิดา (ยอห์น 14:6) แต่พระองค์ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง  เพราะถ้าไม่มีทางคุณก็จะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

       แม้จะเป็นการเสี่ยงที่จะพูดย้ำ ผมก็ขอเน้นอีกครั้งว่า มันถึงเวลาที่เราในฐานะของคริสตจักรและส่วนตัวบุคคลจะกลับมาหาองค์พระเจ้าของเรา มาหาพระยาห์เวห์ผู้ทรงรักเราและทรงทนความทุกข์ทรมานทั้งสิ้นในองค์พระคริสต์เพื่อเรา

     ในที่สุดผมก็เข้าใจหนังสือวิวรณ์  เมื่อเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมในวิวรณ์จึงมีการเทิดทูนพระยาห์เวห์เสมอ แต่ให้ความสนใจค่อนข้างน้อยกับพระเยซูพระเมษโปดก พระเมษโปดกถูกกล่าวถึง 28ครั้งในวิวรณ์ แต่ผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งคือพระยาห์เวห์นั้นถูกกล่าวถึงบ่อยกว่ามาก  พระที่นั่งตรงกลางจะเป็นของ พระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว” อยู่เสมอ ดังที่พระเยซูทรงเรียกพระองค์ในยอห์น 17:3[55] พระเยซูในวิวรณ์จะถูกอ้างถึงแค่ว่าเป็นพระเมษโปดกและไม่เคยมีชื่อเรียกที่สำคัญอย่างอื่น (มีการตีความอยู่บ้างที่พระเยซูทรงมีชื่อเรียกอื่นๆ แต่เราจะไม่เข้าไปในรายละเอียดตอนนี้)  ในวิวรณ์นั้นชื่อเรียกที่สำคัญของพระเยซูก็คือพระเมษโปดกผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา  พระยาห์เวห์เป็นผู้ที่มอบพระเมษโปดก (ลูกแกะ) ของพระองค์ไว้ในมือของมนุษย์แทนเรา  พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระเจ้า “ทรงมอบ” พระเยซูไว้ในมือของมนุษย์เพื่อที่ว่าพระเยซูจะถูกฆ่าเป็นเครื่องบูชาเพื่อบาปของเรา[56]

     เราขอบคุณพระยาห์เวห์พระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมพระเมษโปดก (ลูกแกะสำหรับความรอดของเรา  เมื่ออิสอัคถามอับราฮัมบิดาของเขาว่า “ลูกแกะสำหรับเครื่องบูชาอยู่ที่ไหน?”  อับราฮัมก็ได้ให้ความมั่นใจกับเขาว่า“ลูกเอ๋ยพระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา” (ปฐมกาล22:7-8)ซึ่งเป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำเพื่อเราในพระเยซูคริสต์



[1]Isa Movement(“อีซา” หมายถึง “พระเยซู”)

[2]มาจากภาษาจีนว่า

[3]มาจากภาษาจีนว่า  

[4]อ่านว่า “หยาโจว” แปลว่า “ทวีปเอเชีย”

[5]อ่านว่า “เหว่ยต้า” แปลว่า “ยิ่งใหญ่”

[6]ภาษาจีนคือ

[7]ผู้แปลให้ข้อมูลเพิ่มเติม

[8]ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “แต่แท้จริงพระเจ้าจะประทับบนแผ่นดินโลกหรือ  ดูสิ ฟ้าสวรรค์และสวรรค์อันสูงสุดยังรับพระองค์อยู่ไม่ได้  แล้วพระนิเวศน์นี้ซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างขึ้น จะรับพระองค์ได้อย่างไร” (ผู้แปล)

[9]อพย33:11 พระยาห์เวห์เคยตรัสกับโมเสสสองต่อสองเหมือนมิตรสหายสนทนากัน (ฉบับมาตรฐาน 2011หรือแปลว่า “ตรัสกับโมเสสแบบหน้าต่อหน้า”

[10]Modern Judaism

[11]The Evangelical Dictionary of Theology

[12]Keil and Delitzschนักวิชาการพระคัมภีร์เดิม (ผู้แปล)

[13]Bible หรือ “คัมภีร์ไบเบิ้ล”

[14]ยอห์น7:42พระคัมภีร์กล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิดและมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม” หรือแปลว่า “คำเขียน” (ยอห์น 7:38 ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า“แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น”)-ผู้แปล

[15]The New Testament canon

[16]Church of England

[17]Lutheran Church of Germany

[18] “How We Became Human

[19]สารพันธุกรรม มาจากคำว่า “Deoxyribonucleic Acid

[20]Genomeหมายถึง ข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตหนึ่งๆ (ผู้แปล)

[21] “The gene mapping project

[22]Charles Darwin

[23]มาจากคำจีนว่า “

[24]Calvinism ความเชื่อว่ามนุษย์ชั่วช้าเลวทรามสุดๆที่สืบทอดมาจากอาดัมกับเอวา

[25]Judaismความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวยิว

[26]New Revised Standard Version

[27]  ฉบับไทยคิงเจมส์ (ส่วนฉบับ 1971แปลว่า “พระสิริ” และฉบับมาตรฐาน2012แปลว่า “ราศี”)

[28]ฟีลิปปี3:6ในด้านความกระตือรือร้นก็ได้ข่มเหงคริสตจักรในด้านความชอบธรรมตามธรรมบัญญัติก็ไม่มีที่ติ”

[29]1โครินธ์11:7 “เพราะว่าผู้ชายเป็นพระฉายาและพระสิริของพระเจ้า  ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นศักดิ์ศรีของผู้ชาย” (ฉบับ 1971)

   หรือ “เพราะว่าผู้ชายเป็นพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นสง่าราศีของผู้ชาย” (ฉบับไทยคิงเจมส์)-ผู้แปล

[30]ฉบับไทยคิงเจมส์แปลว่า “เสื่อมจากสง่าราศี” ของพระเจ้า

[31]หรือผิดประเวณี

[32]南京大屠殺” เป็นการฆ่าหมู่ชาวจีนอย่างโหดเหี้ยมหลังจากทหารญี่ปุ่นยึดนานกิง มีชาวจีนถูกฆ่าตายราวสามแสนคนในหกอาทิตย์

[33]มาจากคำกรีกว่า “ἅγιος” หมายถึงผู้ที่ถูกแยกเพื่อพระเจ้า เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ (ผู้แปล)

[34]Christology

[35]New Bible Dictionary

[36]คำกรีกที่แปลว่า “Mystery” ในภาษาอังกฤษ

[37]COHEN คำย่อจากCalling On His Everlasting Name

[38]Isa

[39]ปฐมกาล1:2แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่าความมืดอยู่เหนือน้ำและพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น”

[40]หรือ “ตัวอสุจิ”

[41]1 โครินธ์15:23แต่ว่าจะเป็นไปตามลำดับคือพระคริสต์ทรงเป็นผลแรกต่อจากนั้นก็คือคนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์ในเวลาที่พระองค์เสด็จกลับมา

[42]Immaculate Conception คือการเชื่อว่านางมารีย์เป็นหญิงพิเศษที่ปราศจากบาปจึงให้กำเนิดพระเยซูผู้ปราศจากบาป (ผู้แปล)

[43]คโลสี 2:9เพราะว่าความเป็นพระเจ้าที่ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้นดำรงอยู่ในพระกายของพระองค์”

[44]ฮีบรู4:15“เพราะว่าเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเราแต่ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” 

[45]2 โครินธ์ 5:17ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้วสิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไปนี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” 

[46]Me”

[47]ศคาริยาห์12:1“พระวจนะของพระยาห์เวห์เกี่ยวกับเรื่องอิสราเอลพระยาห์เวห์ผู้ทรงขึงท้องฟ้าออกและวางรากพิภพและปั้นจิตวิญญาณให้มีอยู่ในมนุษย์ตรัสว่า” (ฉบับมาตรฐาน2011)

[48]มาจากคำฮีบรูว่า Maleachแปลว่า Messenger” คือ “ผู้สื่อสาร หรือ ทูต”

[49]The Passion of the Christ

[50]จากฉบับ HCSB(Holman Christian Standard Bible)

[51]1โครินธ์ 3:17 “ถ้าใครทำลายวิหารของพระเจ้าพระเจ้าจะทรงทำลายคนนั้นเพราะว่าวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์และพวกท่านเป็นวิหารนั้น”

[52]สดุดี22:1“พระเจ้าข้าพระเจ้าข้าไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?เหตุใดพระองค์ทรงเมินเฉยต่อการช่วยกู้ข้าพระองค์ และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์?” กับมัทธิว27:46พอเวลาประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า“เอลีเอลีลามาสะบักธานี”แปลว่า“พระเจ้าของข้าพระองค์พระเจ้าของข้าพระองค์ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?”

[53]ภาษาอังกฤษคือคำว่า “hallelujah

[54]Praise the LORD” สดุดี 150:1 “สรรเสริญพระยาห์เวห์จงสรรเสริญพระเจ้าในสถานนมัสการของพระองค์จงสรรเสริญพระองค์ในพื้นฟ้าอันอานุภาพของพระองค์” (ฉบับมาตรฐาน2011)

[55]ยอห์น17:3 “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์(พระบิดา)ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวและรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา”

[56]ฮีบรู9:26 “พระองค์ทรงปรากฏครั้งเดียวเท่านั้นในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นไป โดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา