บทส่งท้าย
พระสิริของพระเจ้า
ที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์
เหตุการณ์ที่พิเศษในการจำแลงพระกายของพระเยซูได้ถูกบันทึกไว้ให้เราในมัทธิว มาระโก และลูกา แต่ไม่ได้อธิบายความหมายไว้ในพระกิตติคุณเหล่านี้ เรื่องราวเกี่ยวกับการจำแลงพระกายต่อไปนี้มาจากมัทธิว ตามด้วยข้อความที่ตัดตอนมาจากเรื่องราวจากลูกา
มัทธิว 17:1-12 1ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง 2แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา และพระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหมือนดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวเหมือนกับแสงสว่าง 3ดูเถิด โมเสสและเอลียาห์ก็มาปรากฏตัวกับพวกเขา และพูดคุยกับพระองค์ 4แล้วเปโตรจึงทูลพระเยซูว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า ดีจริงที่พวกเราอยู่กันที่นี่ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์ ข้าพระองค์จะทำเพิงสามหลังที่นี่ สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” 5ขณะที่เปโตรกำลังทูลอยู่นั้น ดูเถิด มีเมฆสุกใสมาปกคลุมพวกเขาไว้ แล้วมีพระสุรเสียงดังมาจากเมฆว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา ที่เราพอใจมาก จงเชื่อฟังเขาเถิด” 6เมื่อพวกสาวกได้ยิน พวกเขาก็ซบหน้าลงถึงดินและตกใจกลัวยิ่งนัก 7แต่พระเยซูได้เสด็จมาใกล้และทรงสัมผัสตัวพวกเขา ตรัสว่า “ลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” 8และเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นดูก็ไม่เห็นใคร นอกจากพระเยซู 9เมื่อพวกเขาลงมาจากภูเขา พระเยซูตรัสสั่งพวกเขาว่า “อย่าเล่าสิ่งที่ท่านเห็นนั้นให้ใครฟัง จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย” 10แล้วพวกสาวกก็ทูลถามพระองค์ว่า “แล้วทำไมพวกธรรมาจารย์จึงบอกว่า ‘เอลียาห์จะต้องมาก่อน?’” 11พระเยซูตรัสตอบว่า “เอลียาห์จะมาจริง และจะทำให้ทุกสิ่งคืนสู่สภาพเดิม 12แต่เราบอกพวกท่านว่าเอลียาห์นั้นมาแล้ว และพวกเขาไม่รู้จักท่าน แต่พวกเขาได้ทำกับท่านตามใจชอบ ฉะนั้นบุตรมนุษย์ก็จะต้องทนทุกข์ด้วยน้ำมือของพวกเขาเช่นกัน” (ฉบับ ESV)
ลูกา 9:30-32 30และดูเถิด มีชายสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสสกับเอลียาห์ 31ผู้มาปรากฏกายด้วยสิริ[1] และพูดถึงการจากไปของพระองค์ที่กำลังจะสำเร็จที่กรุงเยรูซาเล็ม 32ส่วนเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นกำลังง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อพวกเขาตาสว่างขึ้น เขาก็เห็นพระสิริของพระองค์และเห็นชายสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์ (ฉบับ ESV)
การจำแลงพระกายของพระเยซูเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอิสราเอล แม้จะมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อโมเสสลงมาจากภูเขาซีนายหลังจากที่พบกับพระเจ้า คือที่ใบหน้าของโมเสสทอแสงจ้าจนไม่มีใครสามารถมองหน้าเขาได้ จึงต้องใช้ผ้าคลุมหน้าเขาไว้ (อพยพ 34:29-35) แต่การแสดงพระสิริที่ยิ่งใหญ่กว่าเกิดขึ้นในการจำแลงพระกาย โดยที่พระพักตร์ของพระเยซูทอแสงเหมือนกับดวงอาทิตย์ และฉลองพระองค์ก็เปล่งแสง พระสิริที่ทอแสงผ่านพระเยซูนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่ทอแสงผ่านโมเสสบนภูเขาซีนายมากนัก แม้ว่าในทั้งสองกรณีนั้นจะเป็นพระสิริของพระยาห์เวห์ที่ทอแสงออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
พจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษฉบับ BDAG[2] ภายใต้หัวข้อ metamorphoō (ถูกเปลี่ยนรูป) ไม่มีเหตุผลที่ดีและปราศจากพื้นฐานของพระคัมภีร์ในการแสดงความเห็นตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพว่า พระเยซูที่จำแลงพระกายนั้นกำลังแสดงให้เห็นถึงพระสิริของพระองค์เองที่มีอยู่ก่อน ข้อเท็จจริงก็คือว่า “พระสิริ” (doxa, ลูกา 9:32) ที่ปรากฏในพระเยซูตอนที่จำแลงพระกายนั้น ไม่ใช่พระสิริของพระองค์ที่อ้างว่ามีอยู่ก่อนแล้ว เช่นเดียวกับ “สิริ” (doxa, ข้อ 31) ที่เห็นในโมเสสและเอลียาห์เมื่อพระเยซูทรงจำแลงพระกายนั้นก็ไม่ได้เป็นสิริที่มีอยู่ก่อนแล้ว พระเยซูตรัสซ้ำๆว่าพระองค์ไม่ได้มีสิ่งใดเลย นอกจากสิ่งที่พระบิดาได้ประทานให้พระองค์ และนี่ก็แน่นอนว่าจะรวมถึงพระสิริของพระเยซู ซึ่งเป็นพระสิริของพระยาห์เวห์ที่ทอแสงผ่านพระองค์ในคำตรัสและการกระทำของพระองค์มาตลอด
หลายปีต่อมา เปโตรผู้เห็นเหตุการณ์การจำแลงพระกายก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า พระสิริของพระเยซูเมื่อทรงจำแลงพระกายนั้น “มาจากพระเจ้าพระบิดา”
.... เราเป็นสักขีพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงได้รับพระเกียรติและพระสิริจากพระเจ้าพระบิดา เมื่อมีพระสุรเสียงจากพระสิริอันยิ่งใหญ่มาถึงพระองค์ว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเราที่เรารัก เราพอใจเขามาก” (2 เปโตร 1:16-17 ฉบับ NIV)
ตอนที่พระเยซูทรงจำแลงพระกายนั้น พระสิริของพระยาห์เวห์ได้ทอแสงผ่านโมเสสและเอลียาห์ด้วย โมเสสเป็นผู้ที่พระยาห์เวห์ประทานพระดำรัสของพระองค์เป็นบทบัญญัติ และเอลียาห์เป็นผู้ที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา และดังนั้นจึงเผยให้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ที่ทรงเป็นผู้ประทานชีวิต
แม้ว่าพระสิริของพระเจ้าจะทอแสงอย่างเจิดจ้าในพระเยซูมากกว่าในโมเสสและเอลียาห์ เปโตรก็ไม่ได้ทำเพิงเพียงหลังเดียวสำหรับพระเยซูเท่านั้น แต่ทำเพิงสามหลังสำหรับทั้งสามคน แม้ว่าพระเยซูจะเป็นอาจารย์และเป็นผู้นำของเขา แต่ก็ไม่มี “คำสอนแบบเยซูอิสซึ่ม”[3] อยู่ในความคิดของ เปโตร! โมเสสในฐานะผู้ให้บทบัญญัติ และเอลียาห์ในฐานะตัวแทนผู้เผยพระวจนะของอิสราเอลก็ได้รับเกียรติเหมือนกับพระเยซูในแง่ที่เสนอจะทำเพิงให้ นี่ไม่ได้เป็นการปฏิเสธว่าพระสิริของพระเจ้าที่ทอแสงผ่านพระเยซูนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่ทอแสงผ่านอีกสองคน แต่เป็นการปฏิเสธที่พระเยซูจะต้องได้รับยกย่องว่าเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าสาวกของพระองค์
พระพักตร์ที่ทอแสงเจิดจ้าของพระเยซูที่เปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์ด้วยพระสิริของพระเจ้านั้น ทำให้เหล่าสาวกตกตะลึงและหมอบราบกับพื้นอยู่บนภูเขา หากพวกเขาเคยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการสถิตอยู่ของพระยาห์เวห์ในพระเยซูละก็ ข้อสงสัยเหล่านี้จะหายไปเมื่อได้เห็นความเจิดจ้าของแสงที่เยี่ยมยอดของพระเจ้า
การจำแลงพระกายไม่ได้เป็นเพียงครั้งเดียว ที่พระพักตร์ของพระเยซูได้ทอแสงเหมือนดวงอาทิตย์ต่อหน้ายอห์น ต่อมาภายหลังในวิวรณ์ พระเยซูได้ทรงปรากฏกับยอห์นในลักษณะที่คล้ายกับการจำแลงพระกายของพระองค์
พระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวงไว้ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ มีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และพระพักตร์ของพระองค์เหมือนดั่งดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงเจิดจ้า (วิวรณ์ 1:16 ฉบับ ESV)
ในวิวรณ์ ยอห์นเห็นการสำแดงพระสิริที่คล้ายกันในทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์ด้วยใบหน้าที่เปล่งประ กายด้วยแสงที่แรงกล้าของดวงอาทิตย์
แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์อีกองค์หนึ่งลงมาจากฟ้าสวรรค์ มีเมฆห่อหุ้ม มีรุ้งบนศีรษะของท่าน และใบหน้าของท่านเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ และขาของท่านเหมือนดั่งเสาเพลิง (วิวรณ์ 10:1 ฉบับ ESV)
ไม่มีใครที่อ่านข้อนี้แล้วจะฉุกคิดว่าทูตสวรรค์องค์นี้เป็นพระเจ้าที่เท่าเทียมกับพระเจ้าพระบิดา ดังนั้นจึงไม่มีพื้นฐานทางพระคัมภีร์ที่จะทำให้พระเยซูเป็นพระเจ้า จากการจำแลงพระกายของพระ องค์ที่ปรากฏให้เห็น
พระเยซูทรงพาสาวกเพียงแค่สามคนไปกับพระองค์ในการจำแลงพระกาย เหตุใดอีกเก้าคนจึงไม่ได้รวมอยู่ด้วยในการเปิดเผยที่พิเศษนี้ พระกิตติคุณไม่ได้ให้เงื่อนงำอะไรนอกจากข้อเท็จจริงที่ว่า ทั้งสามคนนี้ได้ถูกจัดลำดับให้เป็นสาวกวงในของพระเยซู แต่เราสามารถพิจารณาความเป็นไปได้หนึ่งหรือสองอย่างโดยไม่ต้องมาถึงบทสรุปที่ดันทุรังแต่อย่างใด
เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือ ยูดาสผู้ที่จะทรยศพระเยซูเป็นสาวกหนึ่งในสิบสองคน ดังนั้นหากจะให้อีกสิบเอ็ดคนรวมอยู่ในเหตุการณ์ของการจำแลงพระกาย ก็จะไม่มีทางกันยูดาสออกมาโดยไม่สนใจเขา ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากการจำแลงพระกายเป็นความลับที่พระเยซูทรงสั่งไม่ให้ทั้งสามเปิดเผยกับคนอื่น จึงเป็นที่ชัดเจนว่าไม่ควรจะเปิดเผยความลับนี้กับยูดาสสาวกคนที่กำลังจะทรยศพระองค์ เปโตร ยากอบ และยอห์นได้ถูกจัดลำดับให้เป็นสาวกวงในของพระเยซู ดังนั้นในเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งของการจำแลงพระกายนี้ ทั้งสามจึงได้รับอนุญาตให้เห็นเหตุการณ์การเปิดเผยพิเศษเกี่ยวกับพระองค์
แม้ว่าเราจะไม่คำนึงถึงยูดาส แต่ทำไมจึงต้องจำกัดอยู่ที่จำนวนสามคนด้วย? เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือ พระเจ้าจะทรงเปิดเผยกับผู้ที่มีท่าทีใจและความคิดซึ่งหาได้ยากแม้แต่ในหมู่ผู้ที่ถูกเลือก นี่คือสิ่งที่บรรดาครูผู้ช่ำชองพระคัมภีร์ซึ่งก็คือพระคำของพระเจ้า จะต้องมีความรู้ที่ได้มาด้วยตัวเอง ในช่วงที่ทำพันธกิจในการสอนและการเทศนาของผม ผมไม่ค่อยได้เห็นว่าจะมีบางคนที่สามารถเข้าใจความจริงฝ่ายวิญญาณได้เกือบจะทันทีที่ได้ยินได้ฟัง ในขณะที่คนอื่นๆที่ได้ยินความจริงอย่างเดียวกัน ในเวลาเดียวกันและในที่เดียวกัน ต้องต่อสู้เป็นเวลานานกว่าจะเข้าใจได้หรือไม่ได้เข้าใจเลย จากเรื่องราวของพระกิตติคุณนั้น ดูเหมือนว่ายอห์นจะเข้าใจเรื่องในฝ่ายวิญญาณเป็นพิเศษ สำหรับเปโตรแล้ว แม้ว่าเขาจะช้ากว่ายอห์นสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าระดับความเข้าใจในฝ่ายวิญญาณของเขาก็สูงกว่าระดับทั่วไป (เช่น มัทธิว 16:15-17)[4] สำหรับยากอบนั้น เรารู้เรื่องราวของเขาเพียงเล็กน้อยจากเรื่องราวในพระกิตติคุณ แต่การที่เขาถูกรวมอยู่ในวงในบ่งบอกว่า เขาน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับเปโตร
เปาโลกล่าวถึง “พระสิริของพระเจ้าที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์” (2 โครินธ์ 4:6) คำกล่าวที่ลึกซึ้งนี้บอกทุกสิ่งที่ต้องบอกเกี่ยวกับตัวบุคคล ชีวิต และพันธกิจของพระเยซูคริสต์ พระสิริของพระเจ้าที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ได้สะท้อนให้เห็นอย่างสมบูรณ์ในเหตุการณ์พิเศษของการจำแลงพระกายนี้
อะไรคือ “ความลับ” ของการจำแลงพระกายที่สาวกทั้งสามคนต้องเก็บเงียบไว้ช่วงหนึ่ง? มีการอ้างอิงที่สำคัญเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูว่า “นิมิตซึ่งท่านทั้งหลายเห็นนั้น อย่าเล่าให้ใครฟังจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย” (มัทธิว 17:9) และ “บุตรมนุษย์ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของพวกเขาเช่นกัน” (ข้อ 12) ในลูกา 9:31 โมเสสและเอลียาห์พูดถึง “การจากไป” (ฉบับ NIV) หรือ “ความตาย” (ฉบับ HCSB)[5] ของพระเยซู
หลายปีต่อมา พระเยซูทรงปรากฏกับยอห์นในวิวรณ์และตรัสกับเขาว่า “เราได้ตายแล้ว แต่นี่แน่ะ เรายังดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 1:18) ซึ่งเป็นคำอธิบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ตรัสบนภูเขาที่ทรงจำแลงพระกาย สาระสำคัญคู่กันของการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูประกอบเป็นใจความพื้นฐานของ “ข่าวประเสริฐของพระเจ้า” (มาระโก 1:14; โรม 1:1; 15:16; 1 เธสะโลนิกา 2:2, 8, 9; 1 เปโตร 4:17)[6] ที่เรียกกันเนื่องจากทางการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูนั้น พระยาห์เวห์ทรงให้โลกคืนดีกับพระองค์ (2 โครินธ์ 5:19-20)[7] พระเยซูทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ (1 โครินธ์ 2:8)[8] ไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ก่อนของพระองค์ตามที่เชื่อกันโดยทั่วไป แต่เพราะโดยพระโลหิตของพระองค์ที่กางเขน มวลมนุษย์จึงได้รับการไถ่เพื่อพระเจ้า นั่นเป็นเพราะการเชื่อฟังของพระองค์จนกระทั่งถึงความตายบนกางเขน พระองค์จึงได้รับการยกขึ้นสูงให้รับพระสิริของพระเจ้า
เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด
และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์
เพื่อว่าเพราะพระนามของพระเยซูนั้น ทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก
และใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงกราบพระองค์
และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้า
เป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าพระบิดา
— จบ —
[1] ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า “รัศมี” และ “พระรัศมี” (ผู้แปล)
[2] พจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษของพระคัมภีร์ใหม่และวรรณกรรมคริสเตียนอื่นๆในสมัยแรกๆ โดย Bauer, Danker, Arndt, Gingrich (ผู้แปล)
[3] Jesusism หรือ Jesuism คือความเชื่อว่าคำสอนของพระเยซูตามศาสนาของยิวแตกต่างจากคำสอนของเปาโล (ผู้แปล)
[4] มัทธิว 16:15-17 แล้วพระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “แล้วพวกท่านว่าเราเป็นใคร?” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะมนุษย์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผยให้ทราบ”
[5] The Holman Christian Standard Bible
[6] มาระโก 1:14 “หลังจากยอห์นถูกจับแล้ว พระเยซูเสด็จมายังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า”
[7] 2 โครินธ์ 5:19 “คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ”
[8] 1 โครินธ์ 2:8 “ไม่มีผู้ครอบครองใดในยุคนี้รู้จักพระปัญญานี้ เพราะว่าถ้ารู้จักแล้ว จะไม่เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริตรึงกางเขน”