บทที่8
![]()
การนมัสการและการอธิษฐาน
มุ่งไปที่พระเยซูหรือไม่?
เมื่อใช้คำ Proskyneō กับพระเยซู
มันหมายความว่านมัสการพระเจ้าหรือไม่?
นมัสการพระเยซูหรือว่ากราบบังคมพระเยซูกันแน่?
ในมัทธิว 2:11 เมื่อพวกนักปราชญ์เข้ามาพบพระกุมารเยซู พวกเขา “นมัสการพระเยซู” (ฉบับ ESV) หรือว่าพวกเขา “กราบบังคม” พระองค์ (ฉบับ NJB) กันแน่? ตรงนี้เราจะเห็นการแปลคำภาษากรีก proskyneō สองแบบที่ค่อนข้างจะแตกต่างกัน
เราจะเห็นพจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษให้สองคำนิยามหลักของคำว่า proskyneō คำนิยามหนึ่งเป็นคำนิยามอันดับแรกและอีกคำนิยามหนึ่งเป็นคำนิยามรองและแตกแขนงมาจากรากศัพท์ ความหมายพื้นฐานของคำนี้คือ “คุกเข่าต่อหน้าใครบางคน” หรือ “หมอบราบตรงหน้าใครบางคน” เป็นการแสดงออกทางกายในการ “กราบไหว้ใครบางคน” โดยไม่จำเป็นต้องอ้างว่าคนที่ได้รับการกราบไหว้จะต้องเป็นพระเจ้า (เช่น การกราบลงตรงหน้าผู้บัญชาการทหารโรมัน) แต่ในบางบริบท proskyneō อาจมีความหมายที่แตกแขนงมาของการนมัสการ ในขณะที่ความหมายแรกและเป็นความหมายพื้นฐานไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการบ่งชี้ถึงพระเจ้า ความหมายรองอาจเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้า
เมื่อเราเจอคำ proskyneō ในพระคัมภีร์ใหม่ ข้อสงสัยว่าอันไหนเป็นความหมายที่มุ่งหมายไว้นั้น มักจะตัดสินจากการดูว่าใครเป็นเป้าหมายของ proskyneō นั้น ถ้าพระเจ้าทรงเป็นเป้าหมาย คำนิยามของ proskyneō ก็จะหมายถึงการนมัสการพระเจ้า (เช่น ในมัทธิว 4:10 “จงกราบนมัสการองค์ ผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน”) แต่ถ้าเป้าหมายของ proskyneō เป็นมนุษย์ซึ่งมีตำแหน่งสูง proskyneō ก็จะหมายถึงการคุกเข่าหรือการกราบเคารพโดยไม่ได้บ่งชี้ถึงพระเจ้า
ดังนั้นความหมายที่มุ่งหมายไว้ของ proskyneō มักจะขึ้นกับว่าใครเป็นเป้าหมายของ proskyneō และคนนั้นถูกมองว่าเป็นพระเจ้าหรือไม่ การใช้ proskyneō เฉยๆนั้น ไม่ได้ทำให้คนนั้นเป็นพระเจ้า เพราะการที่คุกเข่านั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้า
ในสมัยโบราณแถบตะวันออกใกล้นั้น การคุกเข่าหรือก้มกราบเป็นอากัปกริยาทั่วไปของความเคารพนับถือและความนอบน้อม และไม่ได้เข้าใจกันว่าเป็นการนมัสการพระเจ้า เราจะเห็นสิ่งนี้ไม่เฉพาะแต่ในพระคัมภีร์ใหม่เท่านั้น แต่ยังเห็นในพระคัมภีร์เดิมภาษากรีกฉบับ LXX อีกด้วย (แปลจากพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู) เราจะให้เพียงแค่สองตัวอย่างที่อับราฮัมโน้มตัวลงคำนับต่อหน้าคนฮิตไทต์ (ปฐมกาล 23:12) และดาวิดก็ก้มลงถึงดินกราบไหว้ซาอูล (1 ซามูเอล 24:8; ข้อ 9 LXX) ในฉบับ LXX ของทั้งสองข้อนี้ใช้ proskyneō ดังนั้นมันจึงเป็นความผิดพลาดที่จะสรุปว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเพียงเพราะการใช้ proskyneō กับพระองค์
Proskyneō มีความหมายว่าอย่างไรเมื่อใช้กับพระเยซู?
มีคำ proskyneō ปรากฏ 60 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ซึ่งมี 17 ครั้งถูกใช้กับพระเยซู (ที่เป็นกรรมของกริยา[1] proskyneō ในทั้ง 17 ตัวอย่าง) รายการทั้ง 60 ตัวอย่างจะมีให้ในภายหลัง
เมื่อมีการใช้ proskyneō กับพระเยซูที่ไหน พระคัมภีร์ฉบับ ESV มักจะแปลคำนี้ว่า “นมัสการ” (เช่น เหล่าสาวก “นมัสการ” พระเยซู หลังจากที่พระองค์ได้ทรงทำให้พายุสงบลง, มัทธิว 14:33) แต่บางครั้งก็แปลว่า “คุกเข่า” (เช่น มารดาของบุตรเศเบดีก็คุกเข่าต่อพระเยซู, มัทธิว 20:20) ฉบับ ESV, NIV, NASB มีแนวโน้มที่จะแปล proskyneō ว่า “นมัสการ” เมื่อใช้กับพระเยซูโดยสันนิษฐานความเป็นพระเจ้าของพระองค์
แต่พระคัมภีร์อีกหลายเล่มก็แปล proskyneō แตกต่างจากที่ฉบับ ESV มักจะแปล เมื่อมีการใช้กับพระเยซู ในขณะที่ฉบับ ESV กล่าวในมัทธิว 2:11 ว่าเหล่านักปราชญ์นมัสการพระกุมารเยซู ฉบับแปลอื่นๆไม่ได้บ่งชี้ถึงการนมัสการ เช่นว่า “กราบถวายบังคมพระองค์” (ฉบับ NJB, NAB, NRSV, Darby) หรือ “ถวายเกียรติพระองค์” (ฉบับ CEB) หรือ “เคารพบูชาพระองค์” (ฉบับ Douay- Rheims) หรือ “น้อมตัวลงเพื่อถวายบังคมพระองค์” (ฉบับ REB) หรือ “หมอบกราบด้วยความนับถือพระองค์” (ฉบับ ITNT) ทั้งนี้แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าพระคัมภีร์เหล่านี้บางฉบับมีหนังสือรับรองของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพไม่ว่าจะโดยชื่อเสียง หรือโดยใบอนุญาตของคาทอลิก ซึ่งเป็นตรารับรองของคริสตจักรคาทอลิก (สำหรับฉบับ NJB, NAB, Douay-Rheims)
ในขณะที่ฉบับ ESV แปลมัทธิว 2:11 ให้หมายถึงการนมัสการพระกุมารเยซู การแปลแบบนี้ไม่ได้รับการยอมรับแม้แต่จากคู่มืออธิบายพระคัมภีร์หลายฉบับของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ ในการวิเคราะห์มัทธิว 2:11 ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น คู่มืออธิบายพระคัมภีร์ฉบับทินดัล[2] ได้กล่าวไว้ว่า “คำกริยา นมัสการ (proskyneō) มีความหมายเพียงว่า การแสดงความเคารพมนุษย์ที่มีตำแหน่งสูง” จอห์น คาลวินกล่าวอย่างเน้นย้ำว่าพวกนักปราชญ์ไม่ได้ “มานมัสการพระคริสต์อย่างศรัทธาแก่กล้าเนื่องจากเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พวกเขาตั้งใจจะแสดงความเคารพพระองค์ว่าเป็น “กษัตริย์ผู้มีความสำคัญยิ่ง” หนังสืออธิบายของคอนสเตเบิล[3] กล่าวว่า คำกล่าวของพวกนักปราชญ์ “ไม่จำเป็น ต้องหมายความว่า พวกเขาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” แต่ “อาจหมายความว่าพวกเขาต้องการจะกราบบังคมพระองค์” คู่มือพระคัมภีร์ของผู้อธิบาย[4] กล่าวว่า คำกล่าวของพวกนักปราชญ์ “แสดงให้เห็นว่าเป็นการถวายบังคมกษัตริย์มากกว่าเป็นการนมัสการพระเจ้า”
ความคิดเห็นที่แตกต่างนี้ขยายไปยังข้อพระคัมภีร์อื่นๆ ขณะที่ฉบับ ESV กล่าวว่าเหล่าสาวก “นมัสการ” พระเยซูหลังจากที่พระองค์ทรงทำให้พายุสงบลง (มัทธิว 14:33) และผู้หญิงที่อุโมงค์ซึ่งว่างเปล่า “ได้กราบนมัสการ” พระเยซู (มัทธิว 28:9) นั้น พระคัมภีร์ส่วนใหญ่ที่ได้กล่าวมาก่อนนั้นพูดถึงการน้อมตัวลงต่อพระเยซูหรือการกราบลงต่อพระองค์ ตัวอย่างเช่น มัทธิว 14:33 ฉบับ NJB ได้ “กราบไหว้พระองค์” และฉบับ NEB กับฉบับ REB ได้ “กราบลงที่พระบาทของพระองค์”[5]
คำถามที่สำคัญ
เนื่องจาก proskyneō สามารถหมายถึงทั้งการกราบไหว้หรือการนมัสการ แล้วอันไหนคือความ หมายที่ถูกต้องเมื่อใช้กับพระเยซูหรือ? เป็นไปได้ไหมที่เราจะได้คำแปลที่ถูกต้องของ proskyneō ที่ไม่ได้ขึ้นกับข้อสันนิษฐานตามหลักคำสอน? เราสามารถจะผ่าทางตันที่ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพตีความ proskyneō ให้หมายถึงการนมัสการพระเยซู และผู้ที่ไม่เชื่อในตรีเอกานุภาพให้หมายถึงการคุกเข่าลงต่อพระเยซูได้ไหม?
การทำให้ปัญหาเลวร้ายลงก็คือว่า มัทธิว 2:11 (ซึ่งพวกนักปราชญ์ “นมัสการ” พระกุมารเยซู) ไม่มีหลักฐานภายใน[6]ที่ชัดเจนในการสนับสนุนการตีความแบบหนึ่งมากกว่าอีกแบบหนึ่ง ถ้าคุณสันนิษฐานว่าพวกนักปราชญ์นมัสการพระเยซู proskyneō ก็จะหมายถึง “นมัสการ” กับคุณ แต่ถ้าคุณเชื่อว่าพวกนักปราชญ์กราบไหว้พระเยซู proskyneō ก็จะหมายถึง “กราบไหว้” กับคุณ ดังนั้นจะมีปัจจัยภายนอกและปัจจัยที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอะไรไหมที่จะสามารถผ่าทางตันนี้ได้?
ดีที่เรามีวิธีผ่าทางตัน เพราะมีข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้สี่ข้อ ซึ่งไม่ได้ขึ้นกับสมมติฐานตามหลักคำสอน ไม่มีข้อไหนที่เป็นข้อสรุปโดยตัวมันเอง แต่เมื่อนำเอาทั้งสี่ข้อมารวมกัน ข้อเท็จจริงเหล่านี้จะชี้นำเราไปยังความหมายที่ถูกต้องของ proskyneō เมื่อใช้กับพระเยซู
ข้อเท็จจริงที่ 1: การนมัสการไม่ใช่ความหมายพื้นฐานของคำว่า proskyneō แต่เป็นความหมายที่แตกแขนงจากรากศัพท์
พจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษที่ได้มาตรฐานสองฉบับ คือฉบับ BDAG และ Thayer บ่งชี้ว่าการนมัสการเป็นเพียงความหมายรอง หรือความหมายที่แตกแขนงมาจากรากศัพท์ของ proskyneō ฉบับ BDAG ให้หมายเหตุภาคคำแปลศัพท์ดังต่อไปนี้ (คำนิยามโดยสรุป) การอ้างอิงตรงนี้เป็นแบบคำต่อคำและในลำดับเหมือนในฉบับ BDAG (คำตัวหนาในที่เดียวเป็นของผม)
- การแสดงท่าทีหรืออากัปกิริยาการพึ่งพาอย่างสิ้นเชิงของคนๆหนึ่ง หรือการยอมอยู่ใต้อำนาจของผู้มีอำนาจระดับสูง
- (หมอบลง และ) นมัสการ
- ก้มคำนับต่อ
- หมอบกราบตรงหน้า
- ให้ความเคารพนับถือต่อ
- ต้อนรับด้วยความเคารพ
พจนานุกรมฉบับอื่น เช่น ของ Thayer ให้คำนิยาม proskyneō ดังต่อไปนี้ การอ้างอิงตรงนี้เป็นแบบคำต่อคำและในลำดับเหมือนในพจนานุกรม (ข้อมูลอ้างอิงถูกเว้นไว้, คำตัวหนาในที่เดียวเป็นของผม)
- การจูบมือใครสักคน เพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือ
- การคุกเข่าและหมอบลงโดยหน้าผากแตะพื้น เพื่อแสดงความเคารพนับถืออย่างสุดซึ้ง
- การคุกเข่าหรือหมอบกราบเพื่อแสดงความเคารพ (กับใครสักคน) หรือการก้มคำนับ ไม่ว่าจะเพื่อแสดงความนับถือหรือเพื่อวิงวอน
- เป็นการใช้ ก. แสดงความเคารพต่อมนุษย์ที่มีตำแหน่งที่สูง
- ข. การถวายบังคมต่อพระเจ้าและพระคริสต์ที่เสด็จสู่สวรรค์ ต่อทูตสวรรค์ และต่อพวกผี: อย่างแท้จริง (หรือการ นมัสการ)
ข้อเท็จจริงที่น่าประหลาดใจก็คือว่า คำเล็กๆสองคำในพจนานุกรมฉบับ BDAG และ Thayer ซึ่งเป็นตัวหนานั้นเป็นเพียงคำนิยามเดียวของ proskyneō ที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการ ในทั้งสองพจนา นุกรมนี้ได้ให้ความสำคัญกับความคิดเกี่ยวกับการนมัสการน้อยกว่าความคิดเกี่ยวกับการคุกเข่าหรือการกราบไหว้มาก ความจริงแล้ว หนึ่งในสี่ของการอ้างอิงในพจนานุกรมฉบับ BDAG ระบุว่าเป็นการ “นมัสการ” ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความหมายที่สำคัญกว่าของ proskyneō ในพระคัมภีร์ใหม่นั้นไม่ใช่การนมัสการ แต่เป็นการคุกเข่าหรือการกราบไหว้ ความหมายของ “การนมัสการ” เป็นคำที่แยกออกมาแม้ว่าจะเป็นไปได้ในบางบริบท นี่หมายความว่า เราไม่สามารถสรุปง่ายๆ ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเพียงเพราะข้อเท็จจริงที่มีการใช้ proskyneō กับพระองค์ เราต้องการหลักฐานมากขึ้นที่นอก เหนือจากข้อเท็จจริงดังกล่าวที่แทบไม่พอ
ข้อเท็จจริงที่ 2: แทบจะไม่มีการใช้ Proskyneō กับพระเยซูอีกต่อไป หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ แม้จะยังมีการใช้คำนี้อย่างต่อเนื่องในพระคัมภีร์ใหม่!
คำว่า proskyneō มีปรากฏ 60 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ โดยมีปรากฏ 29 ครั้งในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม และมีปรากฏ 31 ครั้งหลังพระกิตติคุณ ดังนั้นการใช้ proskyneō จึงถูกแบ่งออกอย่างเท่าๆกันระหว่างพระกิตติคุณและส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์ใหม่ เพื่อแสดงให้เห็นสิ่งนี้ เราได้รวมตารางสองตารางไว้ด้านล่าง มีตารางที่สั้นกว่าและตารางที่ยาวกว่า
การแบ่งที่สมดุล (29 กับ 31 ครั้ง) มีความสำคัญเนื่องจากข้อเท็จจริงที่น่าแปลกใจว่า หลังจากพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มแล้ว ก็ไม่มีการใช้ proskyneō กับพระเยซูอีกต่อไป (โดยยกเว้นสองครั้ง) แม้จะมีการใช้ proskyneō อย่างต่อเนื่องในพระคัมภีร์ใหม่! พูดให้ชัดก็คือ proskyneō ใช้กับพระเยซู 17 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ โดยใช้ 15 ครั้งในพระกิตติคุณทั้งสี่ แต่ใช้เพียงสองครั้งหลังจากพระกิตติคุณ เราจะเห็นได้ในตารางต่อไปนี้ (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่าตารามที่ “สั้นกว่า”)
|
การปรากฏ 17 ครั้งของ proskyneō ที่ใช้กับพระเยซูคริสต์
|
|
| พระกิตติคุณทั้งสี่ (15 ครั้ง) | หลังจากพระกิตติคุณ (2 ครั้ง) |
|
มัทธิว 2:2 มัทธิว 2:8 มัทธิว 2:11 มัทธิว 4:9 มัทธิว 8:2 มัทธิว 9:18 มัทธิว 14:33 มัทธิว 15:25 มัทธิว 20:20 มัทธิว 28:9 มัทธิว 28:17 มาระโก 5:6 มาระโก 15:19 ลูกา 24:52 ยอห์น 9:38
|
ฮีบรู 1:6 วิวรณ์ 5:14
|
ตารางถัดไปที่ยาวกว่า จะแสดงให้เห็นการปรากฏทั้งหมด 60 ครั้งของ proskyneō ในพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีกฉบับ NA28 ตารางแบ่งออกเป็นสองส่วน คือพระกิตติคุณทั้งสี่ (มีปรากฏ 29 ครั้ง) และหลังพระกิตติคุณ (มีปรากฏ 31 ครั้ง) ส่วน 17 ครั้งที่เน้นเป็นตัวหนาก็คือ 17 ครั้งที่อ้างถึงพระเยซู และเหมือนกับ 17 ข้อที่ระบุไว้ในตารางที่สั้นกว่า
|
การปรากฏทั้งหมด 60 ครั้งของ proskyneō ในพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีก
|
|
มัทธิว 2:2 2:8 2:11 4:9 4:10 8:2 9:18 14:33 15:25 18:26 20:20 28:9 28:17 มาระโก 5:6 15:19 ลูกา 4:7 4:8 24:52 ยอห์น 4:20 4:21 4:22 4:22 4:23 4:23 4:23 4:24 4:24 9:38 12:20 |
|
กิจการ 7:43 8:27 10:25 24:11 1 โครินธ์ 14:25 ฮีบรู 1:6 11:21 วิวรณ์ 3:9 4:10 5:14 7:11 9:20 11:1 11:16 13:4 13:4 13:8 13:12 13:15 14:7 14:9 14:11 15 :4 16:2 19:4 19:10 19:10 19:20 20:4 22:8 22:9 |
จากทั้งสองตารางนี้ เราจะเห็นว่าไม่มีการใช้ proskyneō กับพระเยซูอีกต่อไปหลังจากพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม โดยยกเว้นสองข้อคือ ฮีบรู 1:6 และวิวรณ์ 5:14 แต่ฮีบรู 1:6 ไม่นับเป็นหลังพระกิตติคุณ เพราะเป็นการอ้างอิงถึงการกำเนิดทางกายภาพของพระเยซู
และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงนำพระบุตรหัวปีเข้ามาในโลก พระองค์ตรัสว่า “ให้ทูตสวรรค์ทั้งหมดของพระเจ้ากราบนมัสการพระองค์” (ฮีบรู 1:6, อ้างสดุดี 97:7, ฉบับ LXX 96:7)[7]
ข้อนี้อยู่ในตอนหนึ่งในฮีบรูซึ่งประกาศว่าพระเยซูทรงอยู่เหนือกว่าทูตสวรรค์ แต่ในข้อนี้ไม่ได้ยึดความคิดเรื่องการนมัสการ พระคัมภีร์ฉบับ NJB หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “นมัสการ” เมื่อแปลฮีบรู 1:6 ว่า “ให้ทูตสวรรค์ทั้งหมดของพระเจ้ากราบไหว้พระองค์” ฉบับ ITNT ใช้คำว่า “ทูตสวรรค์ทั้งหมดของพระเจ้าจะต้องเคารพนับถือพระองค์” และฉบับ REB ใช้คำว่า “ให้ทูตสวรรค์ทั้งหมดของ พระเจ้ากราบไหว้พระองค์”
แต่ข้อที่สำคัญกว่าสำหรับบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือวิวรณ์ 5:14 เพราะมันเป็นข้อเดียวในพระคัมภีร์ใหม่ที่ใกล้เคียงกับการนมัสการพระเยซูอย่างชัดเจนด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า proskyneō ได้ใช้กับพระเยซูพร้อมกันกับพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ เดี๋ยวต่อไปเราจะพูดถึงข้อนี้
ทำไมจู่ๆการใช้คำนี้ก็ลดลง?
อะไรอาจเป็นเหตุผลของการลดการใช้คำนี้อย่างทันทีทันใด ซึ่งใกล้เคียงกับการหายไปในการใช้ proskyneō กับพระเยซูหลังจากพระกิตติคุณ (มีเพียงสองกรณีซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับ 15 กรณีในพระกิตติคุณ) แม้จะมีการใช้ proskyneō อย่างต่อเนื่องในพระคัมภีร์ใหม่?
ปมประเด็นอยู่ในข้อเท็จจริงที่ว่า จุดแบ่งระหว่างพระกิตติคุณกับส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์ใหม่ ก็เป็นจุดแบ่งระหว่างพระเยซูที่อยู่ในโลกกับพระเยซูที่เสด็จสู่สวรรค์ด้วย สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไมจึงใช้ proskyneō กับพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงปรากฏตัวตนอยู่ในโลก แต่ไม่ใช้เมื่อพระองค์ไม่มีตัวตนอยู่ในสวรรค์[8]
ความจริงที่น่าประหลาดใจนี้บอกเราว่า เมื่อใดที่ proskyneō ใช้กับพระเยซูนั้น ควรจะเข้าใจว่าเป็นการกราบไหว้พระเยซูมากกว่าเป็นการนมัสการพระเยซู หลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์แล้ว พระกายของพระองค์ไม่ได้อยู่บนโลกอีกต่อไป สิ่งนี้จะอธิบายได้ว่าทำไมผู้คนบนโลกจึงไม่ได้คุกเข่าต่อพระองค์อีกต่อไป
แต่ถ้าเรารับเอามุมมองของความเชื่อในตรีเอกานุภาพว่า proskyneō หมายถึงการนมัสการพระเยซูเป็นพระเจ้า มันก็ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนที่การนมัสการจะหยุดลงหลังจากที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ เพราะถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงๆดังที่พระองค์ทรงเป็นตามความเชื่อในตรีเอกานุภาพละก็ การนมัสการพระเจ้าก็ควรจะดำเนินต่อไปเมื่อพระเยซูไม่ได้ทรงอยู่ เพราะว่าพระเจ้าผู้สถิตอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งได้ทุกที่ในจักรวาลทรงสามารถรับการนมัสการได้ทุกที่ในจักรวาลนี้ อันที่จริง ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เราก็ควรคาดหวังว่าจะมีการใช้ proskyneō กับพระเยซูเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ลดลงหลังจากที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ เพราะพระเยซูผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ตอนนี้ทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้าที่ได้รับการยกย่องสูงสุด ผู้ที่ได้รับพระนามที่เหนือนามทั้งปวง
ตามลำดับเหตุการณ์แล้ว การใช้ proskyneō กับพระเยซูครั้งสุดท้ายก่อนวิวรณ์ 5:14 ก็คือลูกา 24:52 ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป็นช่วงเวลาที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์! นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย ลูกา 24:52 มีความสำคัญที่สุดในการกำหนดจุดตัดอย่างพอดีที่เส้นแบ่งระหว่างพระเยซูที่อยู่บนโลกกับพระเยซูที่เสด็จสู่สวรรค์
ข้อเท็จจริงที่ 3: Proskyneō ใช้โดยยอห์นเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาแทบไม่เคยใช้คำนี้กับพระเยซูเลย!
จากการปรากฏของ proskyneō 60 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ จะพบ 35 ครั้งในการเขียนของยอห์นกับอีก 25 ครั้งในส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งทำให้ proskyneō เป็นคำที่ยอห์นใช้มากกว่าใคร แต่ยอห์นใช้ proskyneō กับพระเยซูเพียงสองครั้งในการเขียนทั้งหมดของเขา! (ดูตารางที่ยาวกว่าด้านบน) สองครั้งที่กล่าวถึงนี้คือ ยอห์น 9:38 (ชายที่เคยตาบอดมาก่อนได้กราบลงตรงหน้าพระเยซู) และวิวรณ์ 5:14 (ข้อที่เราได้อ้างอิงและเดี๋ยวจะกล่าวถึง)
ในทางกลับกัน ยอห์นใช้ proskyneō สิบครั้งในความหมายที่สมบูรณ์ของการนมัสการกับการนมัสการซาตาน หรือสัตว์ร้าย หรือรูปจำลองของสัตว์ร้าย![9]
แม้ proskyneō จะเป็นคำที่ยอห์นใช้มากกว่าใคร แต่ยอห์นก็แทบจะไม่เคยใช้คำนี้กับพระเยซูเลย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่น่าแปลกใจเมื่อบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพมองการเขียนของยอห์นว่าสนับสนุนศาสนศาสตร์เกี่ยวกับองค์พระคริสต์อย่างเต็มที่ แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่น่าตกใจในเรื่องนี้เลย เพราะพระเยซูก็ทรงประกาศในพระกิตติคุณยอห์นว่า พระบิดาของพระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว (ยอห์น 17:3)[10] ในพระกิตติคุณเดียวกันนี้ เราเห็นความตั้งพระทัยของพระเยซู เมื่อพระองค์เตือนเราให้นมัสการพระบิดาของพระองค์ว่า “นมัสการพระบิดา” (ยอห์น 4:21)[11] และ “คนที่นมัสการอย่างแท้จริง จะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์” (ข้อ 23)
ข้อเท็จจริงที่ 4: กลุ่มคำ latreuein ไม่เคยนำมาใช้กับพระเยซู
เราจะแบ่งออกเป็นข้อย่อยเพื่อช่วยในการอธิบายประเด็นที่สี่ ดังนี้
• โดย “กลุ่มคำ” เราหมายถึงกลุ่มของคำที่มีรากศัพท์คำกรีกเดียวกัน ในกรณีนี้เรากำลังพูดถึง
กลุ่มคำซึ่งประกอบด้วยคำที่เกี่ยวข้องสามคำคือ latreuein, latreia, leitourgein
- สามคำนี้มีความหมายตามลำดับคือ (i) การรับใช้หรือการปฏิบัติศาสนกิจ เป็นกิจกรรมทางศาสนา (ii) การอุทิศตัวทางศาสนา (iii) การทำการปรนนิบัติรับใช้ทางศาสนา คำว่า “ทางศาสนา” เกี่ยวข้องกับการอุทิศตัวทางศาสนาแด่พระเจ้า
- ข้อสังเกตที่สำคัญคือ กลุ่มคำ latreuein แสดงถึงการนมัสการพระเจ้ามากยิ่งกว่ากลุ่มคำอื่นในพระคัมภีร์ใหม่ แต่ก็ไม่เคยใช้กับพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่!
เรื่องนี้ได้อธิบายไว้ในข้อ 1.2 ของหนังสือ “คริสเตียนเริ่มแรกนมัสการพระเยซูหรือไม่?” ของเจมส์ ดี จี ดันน์[12] ข้อความที่ตัดตอนมาต่อไปนี้เอามาจากหน้า 13-15 ของหนังสือเล่มนี้ (โดยเว้นเชิงอรรถ จงสังเกตคำตัวหนาที่ผมได้เพิ่มไว้)
คำพ้องความหมายที่ใกล้เคียงอีกคำที่พบมากที่สุด คือ latreuein ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึง “การรับใช้” แต่ในวรรณกรรมเกี่ยวกับพระคัมภีร์นั้น การอ้างอิงมักจะเป็นการปรนนิบัติรับใช้ทางศาสนาเสมอ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนา เป็น ‘การให้การปรนนิบัติรับใช้ทางศาสนา’
. . . . .
และในพระคัมภีร์หลายตอนแปล latreuein ว่า ‘นมัสการ’ ในฉบับแปลภาษาอังกฤษฉบับต่างๆ เป็นที่สังเกตได้ว่า กรรมของคำกริยาในแต่ละกรณี ผู้ที่ (รับ) การปรนนิบัติรับใช้/การนมัสการ ก็คือพระเจ้า นอกเหนือจากการอ้างอิงครั้งหรือสองครั้งถึงการนมัสการที่เทียมเท็จแล้ว การอ้างอิงก็มักจะเป็นการปรนนิบัติรับใช้ทางศาสนา/การนมัสการพระเจ้าเสมอ ไม่มีในกรณีใดเลยในพระคัมภีร์ใหม่ที่พูดถึงการถวายนมัสการทางศาสนา (latreuein) กับพระเยซู
. . . . .
เช่นเดียวกับ latreuein กับคำนามที่เข้าคู่กันคือ latreia, ‘การปรนนิบัติรับใช้ การนมัสการ (ทางศาสนา)’ มันหมายถึงการนมัสการพระเจ้าเสมอ ... ในที่นี้เราจะต้องสังเกตว่า จำนวนการอ้างอิงของ latreia มีจำกัดมาก และ ‘การปรนนิบัติรับใช้/การนมัสการ’ ตรงนี้ก็เช่นกันที่ไม่เคยมีแนวคิดว่าเป็นการถวายแด่พระเยซู
. . . . .
โปรดจำไว้ว่า กลุ่มคำ latreuein คือคำที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับการถวายการ ‘นมัสการทางศาสนา’ ข้อเท็จจริงที่ว่า คำนี้ไม่เคยนำมาใช้เพื่อ ‘การอุทิศตนทางศาสนา’ กับพระคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่นั้นค่อนข้างน่าแปลกใจสำหรับบทความวิจัยหลักของเฮอร์ทาโด[13] และควรให้ความสนใจบ้าง
สรุปข้อเท็จจริงสี่ประการ: พระเยซูไม่ได้รับการนมัสการ
เราได้เสนอข้อเท็จจริงสี่ประการที่สามารถตรวจสอบความเป็นจริงได้อย่างไม่มีอคติ ได้อย่างเด่นชัด และได้อย่างเป็นกลาง ข้อเท็จจริงสี่ประการนี้ไม่มีข้อสรุปโดยตัวของมันเอง แต่เมื่อนำมารวมกัน ข้อเท็จจริงทั้งสี่นี้แสดงให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อใช้ proskyneō กับพระเยซูก็จะหมายถึงการคุกเข่าลงต่อพระเยซู หรือให้ความเคารพนับถือต่อพระองค์ หรือแสดงความคารวะต่อพระองค์ และไม่ได้เป็นการนมัสการพระองค์เป็นพระเจ้า ที่จริงพระเยซูทรงเตือนเราให้นมัสการผู้ที่พระองค์ทรงเรียกว่า “พระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน” และ “พระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” (ยอห์น 20:17) การนมัสการที่แท้จริงไม่ใช่การนมัสการพระเยซู แต่เป็นการนมัสการด้วยกันกับพระเยซู
กรณีพิเศษของวิวรณ์ 5:14
ต่อไปนี้มาจากสิ่งที่พูดกันมาก่อนหน้านี้ในบทที่ 6 แต่กระชับในแบบเป็นบทสรุปที่เหมาะกับการพิจารณาของเราในตอนนี้
คำว่า proskyneō มีปรากฏ 60 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ โดยพบ 24 ครั้ง (40%) ในวิวรณ์ นั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงสำหรับหนังสือเล่มเดียว แต่ก็ไม่มีกรณีใดในวิวรณ์ที่ proskyneō ใช้กับพระเยซู นอก จากข้อยกเว้นเดียวของวิวรณ์ 5:14 ที่ผู้อาวุโสทั้ง 24 คน “นมัสการ” พระเจ้าและพระเยซู ในข้อนี้ การนมัสการ (proskyneō) ไม่ได้มุ่งไปที่พระเยซูเพียงผู้เดียว แต่ยังมุ่งไปที่พระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ด้วย
นี่เป็นข้อสังเกตที่สำคัญมากว่า ในหนังสือวิวรณ์ที่นอกจากวิวรณ์ 5:14 แล้ว proskyneō มักจะหมายถึงพระเจ้าเสมอและไม่เคยใช้พระเยซูเลย โดยไม่มีข้อยกเว้น (ไม่นับการนมัสการสัตว์ร้าย หรือรูปจำลองของสัตว์ร้าย) ดังนั้นจึงเห็นชัดเจนว่า เมื่อมีการใช้ proskyneō กับทั้งพระเจ้าและพระเยซูในวิวรณ์ 5:14 เพียงข้อเดียวนั้น ก็จะเป็นพระเจ้าและไม่ใช่พระเยซู ที่เป็นเหตุผลสำคัญในการใช้ proskyneō นี่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในบริบทถัดมาของวิวรณ์ 5:14 ที่ผู้เป็นศูนย์กลางคือพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์
เรานึกถึงวิธีที่ชาวอิสราเอลกราบลงต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้ากษัตริย์ดาวิด (โปรดสังเกตคำที่เน้น)
1 พงศาวดาร 29:20 แล้วดาวิดก็ตรัสกับชุมนุมชนทั้งหมดว่า “บัดนี้ จงสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเถิด!” และชุมนุมชนทั้งหมดก็สรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเขา และกราบถวายบังคมต่อพระยาห์เวห์และต่อกษัตริย์” (ฉบับ NJB)[14]
ข้อนี้ในพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู มีคำ YHWH ปรากฏสามครั้ง ข้อนี้ในพระคัมภีร์ภาษากรีกฉบับ LXX คำว่า “กราบถวายบังคม” ตรงกับคำ proskyneō คำเดียวกับที่ใช้ในวิวรณ์ 5:14
การใช้ proskyneō ใน 1 พงศาวดาร 29:20 มีความสำคัญเพราะมันบอกเราว่าพระคัมภีร์ภาษากรีกฉบับ LXX ไม่ลังเลที่จะใช้ proskyneō กับดาวิดเลย เมื่อคำนี้ก็ใช้กับพระยาห์เวห์ด้วย! ความคล้ายคลึงระหว่างดาวิดใน 1 พงศาวดาร 29: 20 กับพระเยซูในวิวรณ์ 5:14 ก็เด่นชัดขึ้นด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า พระเยซูคือพระเมสสิยาห์จากเชื้อสายดาวิด เราสังเกตเห็นอีกว่าใน 1 พงศาวดาร 29:20 ผู้ที่เป็นเป้าหมายหลักให้รับการนมัสการนั้นไม่ใช่ดาวิด แต่เป็นพระยาห์เวห์ จากที่ดาวิดตรัสว่า “บัดนี้ จงสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเถิด” แต่นั่นก็ไม่ได้ตัดโอกาสดาวิด (หรือพระเยซูในวิวรณ์ 5:14) จากการเป็นผู้รับ proskyneō ร่วมกับพระยาห์เวห์!
ในพระคัมภีร์ใหม่
คำอธิษฐานกล่าวกับพระเจ้า ไม่ใช่กับพระเยซูคริสต์
ในบทก่อนหน้านี้ เราได้สำรวจพระคัมภีร์ใหม่เพื่อดูว่า คำสรรเสริญและคำขอบพระคุณที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่นั้น มุ่งไปที่พระคริสต์ในแบบเดียวกับที่คำสรรเสริญและคำขอบพระคุณมุ่งไปที่พระเจ้าพระบิดาหรือไม่ หลักฐานจากพระคัมภีร์อย่างล้นหลามแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน
แล้วคำอธิษฐานล่ะ? คำอธิษฐานที่กล่าวกับพระเยซูเป็นแบบเดียวกับที่กล่าวกับหรือควรกล่าวกับพระบิดาไหม? เพื่อตอบคำถามนี้ เราจะมาดูขอบเขตของคำกรีกซึ่งครอบคลุมแง่มุมต่างๆของการอธิษฐาน โดยเฉพาะการร้องขอต่อพระเจ้าในการอธิษฐาน
คำกรีกสำหรับการร้องขอต่อพระเจ้าในการอธิษฐาน
คำกริยา erōtaō (ἐρωτάω, ขอ, ร้องขอ) มีปรากฏ 63 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ มีเจ็ดครั้งที่เป็นความหมายของการร้องขอต่อพระเจ้าในการอธิษฐาน ทั้งเจ็ดครั้งนี้พบในการเขียนของยอห์น ที่หกครั้งอยู่ในพระกิตติคุณยอห์นและอีกหนึ่งครั้งอยู่ใน 1 ยอห์น ต่อไปนี้เป็นเจ็ดตัวอย่างดังกล่าว (สองตัวอย่างอยู่ในยอห์น 17:9) ข้อทั้งหมดอ้างอิงจากฉบับ ESV ในแต่ละและในทุกตัวอย่างนั้นเป็นการร้องขอต่อพระเจ้าพระบิดา ไม่ใช่การร้องขอต่อพระเยซูคริสต์
ยอห์น 14:16 เราจะทูลขอพระบิดา
ยอห์น 16:26 เราจะทูลขอพระบิดาเพื่อท่าน
ยอห์น 17:9 ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคน
เหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์
ยอห์น 17:15 ข้าพระองค์ไม่ได้ทูลขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก
ยอห์น 17:20 ข้าพระองค์ไม่ได้ทูลขอเพื่อคนเหล่านี้เท่านั้น
1 ยอห์น 5:16 ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าให้อธิษฐานในเรื่องบาปนั้น
คำกริยาอีกคำหนึ่งคือ aiteō (αἰτέω, ขอ) มีปรากฏ 70 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ โดยที่ 29 ครั้งมีความหมายของการร้องขอต่อพระเจ้าในการอธิษฐาน จาก 29 ครั้งนี้ จะพบแปดครั้งในพระกิตติคุณยอห์น ซึ่งทั้งหมดอยู่ในบทที่ 14 ถึงบทที่ 16 และห้าครั้งพบใน 1 ยอห์น[15] นี่ทำให้ที่เหลืออีก 16 ครั้งพบอยู่นอกเหนือจากงานเขียนของยอห์น[16] จะเห็นอีกครั้งว่า ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการร้องขอในการอธิษฐานต่อพระเจ้า ไม่ใช่ต่อพระเยซูคริสต์
เราจะพูดถึงอีกสองคำ คำแรกคือ deomai (δέομαι, ขอ, วิงวอน, ร้องขอ, อ้อนวอน) ซึ่งปรากฏ 22 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ โดยส่วนใหญ่จะปรากฏในลูกา-กิจการ (15 ครั้ง) คำนี้มีปรากฏครั้งเดียวในมัทธิวและไม่เคยปรากฏในงานเขียนของยอห์นเลย และมีปรากฏหกครั้งในงานเขียนของเปาโล (โรม 1:10; 2 โครินธ์ 5:20; 8:4; 10:2; กาลาเทีย 4:12; 1 เธสะโลนิกา 3:10) แต่มีเฉพาะในโรม 1:10 และ 1 เธสะโลนิกา 3:10 ที่คำนี้หมายถึงการอธิษฐาน
อีกคำหนึ่งคือคำนาม deēsis (δέησις, การวิงวอน, การอธิษฐาน) ซึ่งเปาโลมักจะใช้ในการอธิษฐาน จากการปรากฏทั้งหมด 18 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่นั้นจะพบ 12 ครั้งในจดหมายของเปาโล
สิ่งที่เกี่ยวกับคำสองคำนี้ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ deomai หรือ deēsis ใช้กับการอธิษฐานในพระคัมภีร์ใหม่ มันจะหมายถึงการอธิษฐานต่อพระบิดาเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น ในหลายตัวอย่างที่พระเยซูทรงใช้คำนี้อธิษฐานต่อพระบิดา ตัวอย่างเช่น ในลูกา 22:32 ที่พระเยซูทรงใช้ deomai อธิษฐานต่อพระบิดาเพื่อเปโตร ในฮีบรู 5:7 คำว่า deēsis ที่พระเยซูทรงใช้ “ถวายคำอธิษฐาน และคำร้องขอด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหล ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้”
คำที่ใช้กับการอธิษฐาน
คำว่า parakaleō (παρακαλέω, วิงวอน, เตือนสติ, ชูใจ) มีปรากฏ 109 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ แต่มีเพียงสองครั้งในความหมายของการอธิษฐาน คำนี้ไม่ใช่คำตามปกติสำหรับการอธิษฐาน แต่เป็นคำที่ให้ความหมาย “ร้องขอความช่วยเหลือ” (พจนานุกรมภาษากรีก-อังกฤษฉบับ BDAG) ตัวอย่างแรกของคำนี้ที่มีความหมายของการอธิษฐานคือมัทธิว 26:53[17] ซึ่งพระเยซูตรัสถามอย่างฉะฉานขณะเมื่อพระองค์กำลังถูกจับกุมในเกทเสมนีว่า ถ้าพระองค์จะทูลพระบิดาให้ช่วย แล้วพระบิดาจะไม่ประทานทูตสวรรค์ให้พระองค์มากกว่าสิบสองกองพลในทันทีหรือ
อีกตัวอย่างเดียวของ parakaleō ในความหมายของการอธิษฐานจะพบได้ใน 2 โครินธ์ 12:8[18] ที่เปาโลกล่าวว่าเขาวิงวอนถึงสามครั้งต่อองค์ผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าพระเยซูหรือพระเจ้า เพื่อให้หนามออกไปจากเนื้อ แต่เนื่องจาก parakaleō ไม่ใช่คำตามปกติสำหรับการอธิษฐาน (ซึ่งใช้เพียงสองครั้งในความหมายนี้) แม้จะเป็นคำทั่วไปในพระคัมภีร์ใหม่ (109 ครั้ง, ที่มักจะเป็นคำวิงวอนขอความช่วย เหลือ) แต่ไม่ได้เป็นตัวกำหนดความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการอธิษฐาน อย่างไรก็ตาม เพื่อความครบถ้วนสมบูรณ์ ในการตรวจสอบของเราโดยรวมเกี่ยวกับการอธิษฐานในพระคัมภีร์ใหม่อาจทำให้เราต้องสังเกตว่า 2 โครินธ์ 12:8 ข้อเดียวนี้ ไม่ได้ปฏิเสธรูปแบบของพระคัมภีร์ที่สอดคล้องกันว่า การอธิษฐานเป็นการกล่าวกับพระบิดาแต่เพียงผู้เดียว
แล้วอะไรคือคำที่ใช้กับการอธิษฐานมากกว่า? ในพระคัมภีร์ใหม่ คำหลักสำหรับการอธิษฐานคือคำกริยา proseuchomai (προσεύχομαι) และคำนาม proseuchē (προσεύχη) คำเหล่านี้มีปรากฏ 85 และ 36 ครั้งตามลำดับรวมทั้งหมดแล้ว 121 ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่[19]
เมื่อพิจารณาถึงความมีมากกว่าของสองคำนี้ มันน่าประหลาดใจว่าไม่มีสักตัวอย่าง หรืออย่างมากที่สุดก็หนึ่งหรือสองตัวอย่างที่มีการถกเถียงกันและกล่าวอ้อมๆในพระคัมภีร์ใหม่ เกี่ยวกับคำ proseuchomai หรือ proseuchē ว่าใช้กล่าวกับพระคริสต์ ในทางกลับกันแล้ว ถ้อยคำเหล่านี้มักใช้โดยพระเยซูในการอธิษฐานต่อพระบิดาในช่วงที่ทรงรับใช้อยู่ในโลก แม้หลังจากที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์แล้ว ก็ไม่ได้มีการหนุนใจให้เรากล่าวคำอธิษฐานของเรากับพระเยซูคริสต์เลย แต่ในทางตรง กันข้าม พระองค์ยังทรงอธิษฐานหรือทูลขอเพื่อเราอย่างต่อเนื่อง
โรม 8:34 ใครเล่าจะกล่าวโทษอีก? พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นทรงถูกทำให้เป็นขึ้นจากความตาย ผู้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ผู้ทรงอธิษฐานวิงวอนเพื่อเราอย่างแท้จริง (ฉบับ ESV)
ฮีบรู 7:25 เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถช่วยคนทั้งปวงที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์จนถึงที่สุด เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เสมอเพื่อการวิงวอนเผื่อคนเหล่านั้น (ฉบับ ESV)
ในสองข้อนี้คำว่า “วิงวอน” หรือ “การวิงวอน” ได้แปลมาจากคำกริยา entynchanō (ἐντυγχάνω, วิงวอน, อ้อนวอน) ในข้อแรก มีการใช้คำนี้ในการทูลอ้อนวอนของพระคริสต์ต่อพระเจ้าแทนเรา นอกจากนี้ยังใช้ในโรม 8:27 ที่พระวิญญาณทรงวิงวอนเพื่อเรา
สุดท้ายนี้ คำว่า enteuxis (ἐντευξις, การอ้อนวอน, การวิงวอน) จะพบใน 1 ทิโมธี 2:1 และ 4:5 ใน 1 ทิโมธี 2:1[20] คำนี้ใช้กับอีกสามคำที่เกี่ยวข้องกับการอธิษฐาน (deēsis, proseuchē, eucharistia, ตรวจสอบแล้ว) ตามที่คาดไว้ ในทั้งสองข้อนี้ enteuxis หมายถึงคำอธิษฐานที่เหล่าสาวกหรือบรรดาผู้เชื่ออธิษฐานกับพระเจ้า
บทสรุป
การสำรวจของเราเกี่ยวกับการอธิษฐานในพระคัมภีร์ใหม่ ไม่ได้แสดงให้เห็นการแนะนำใดๆเป็นพิเศษให้อธิษฐานกับพระคริสต์ แต่ตรงกันข้ามที่ในยุคนี้พระคริสต์ยังคงทรงอธิษฐานและทูลวิงวอนกับพระบิดาเพื่อเราอยู่เสมอ
หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ หลังยุคเพ็นเทคอสต์แล้ว มีเพียงตัวอย่างเดียวของการอ้อนวอนที่กล่าวกับพระเยซูคือการที่สเทเฟนมอบจิตวิญญาณของเขาไว้กับพระเยซู (“ข้าแต่พระเยซู องค์ผู้เป็นเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย” กิจการ 7:59) ตามด้วยคำวิงวอนให้ยกโทษผู้ที่ข่มเหงเขา (“ข้าแต่องค์ผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าถือโทษพวกเขาเพราะบาปนี้” ข้อ 60) แต่นี่เป็นกรณีของสาวกที่มอบฝากจิตวิญญาณของเขาไว้กับองค์ผู้เป็นเจ้าของเขาเมื่อกำลังจะสิ้นใจ เหมือนที่แกะมอบตัวมันเองกับผู้เลี้ยงของมัน และทำตามอย่างพระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้าผู้ทรงร้องขอให้ยกโทษผู้ที่ข่มเหงพระองค์ในทำนองเดียวกัน (ลูกา 23:34)[21]
อีกตัวอย่างหนึ่งที่พบในวิวรณ์ 22:20 ซึ่งเราจะเห็นคำอุทานที่เป็นการเชื้อเชิญว่า “อาเมน พระเยซูองค์ผู้เป็นเจ้า เชิญเสด็จมาเถิด!” เพื่อตอบกลับคำประกาศที่ว่า “เราจะมาในเร็วๆนี้แน่นอน” แต่คำกล่าวนี้แทบจะไม่สามารถจัดว่าเป็นคำอธิษฐานตามความหมายปกติของคำได้
นี่เป็นเพียงสอง “คำอธิษฐาน” ในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งมุ่งไปที่พระเยซูตามคำนิยามที่กว้างสุดที่เป็นได้ของคำว่า “คำอธิษฐาน” ที่จริงแล้วสองคำอธิษฐานนี้จะถูกต้องมากกว่าเมื่ออธิบายว่าเป็นคำอุทานกับพระเยซู ไม่ใช่คำอธิษฐานกับพระเยซู
ร้องออกพระนามของพระเยซูไหม?
แล้วการร้องออกพระนามของพระเยซูล่ะ? ให้เราพิจารณาดังต่อไปนี้
เรียน คริสตจักรของพระเจ้าที่อยู่ในโครินธ์ ผู้ที่ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชนด้วยกันกับคนทั้งปวงในทุกหนทุกแห่ง ที่ร้องออกพระนามพระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นองค์ผู้เป็นเจ้าของพวกเขาและของเรา (1 โครินธ์ 1:2, ฉบับ ESV)
เราสังเกตเห็นสองอย่าง อย่างแรกตามที่เห็นในข้อนี้ว่าสำหรับเปาโลแล้ว คริสตจักรไม่ได้เป็น “คริสตจักรของพระเยซูคริสต์” หรือ “คริสตจักรของพระคริสต์” แต่เป็น “คริสตจักรของพระเจ้า” ซึ่งคำที่มีปรากฏหลายครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ (กิจการ 20:28; 1 โครินธ์ 1:2; 10:32; 11:22; 15:9; 2 โครินธ์ 1:1; กาลาเทีย 1:13; 1 ทิโมธี 3:5, 15)[22] ในขณะที่มีคำคล้ายกันเพียงตัวอย่างเดียวที่ใช้เกี่ยวกับพระคริสต์ นั่นคือ “คริสตจักรของพระคริสต์” (โรม 16:16)[23] ซึ่งเป็นการอ้างถึงคริสตจักรบางแห่งในภูมิภาคที่ส่งคำทักทายของพวกเขาไปยังกรุงโรม แต่เมื่อเปาโลกล่าวถึงคริสตจักรโดยรวมนั้น เขาจะใช้ “คริสตจักรของพระเจ้า” และไม่เคยใช้ “คริสตจักรของพระคริสต์”
อย่างที่สอง คำเรียก “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord) ที่ใช้กับพระเยซูคริสต์ใน 1 โครินธ์ 1:2 นั้นแทบจะไม่สามารถใช้กับพระเจ้าผู้ที่ดำรงนิรันดร์ผู้เป็น “พระเจ้าพระบุตร” พระเจ้าพระองค์ที่สองของตรีเอกานุภาพ เพราะ “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord) เป็นคำเรียกในความหมายของการยกย่องที่ให้เกียรติพระเยซูเท่านั้นหลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นจากความตาย พระเจ้าเป็นผู้ทรงทำให้พระเยซูเป็น “ทั้งองค์ผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์” (กิจการ 2:36; เปรียบเทียบ 5:31; โรม 14:9)[24] คำเรียกที่ได้รับยกย่องว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord) นี้ไม่ควรจะสับสนกับ “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord) ตามความหมายในชีวิต ประจำวันในพระกิตติคุณ ที่มีผู้คนกล่าวกับพระเยซูว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า” (Lord) ในความหมายว่า “พระองค์เจ้าข้า” หรือ “ท่านเจ้าข้า” หรือ “นายเจ้าข้า” หรือ “อาจารย์เจ้าข้า”
คำกรีกว่า kyrios ( “Lord” หรือ “ลอร์ด”) เป็นคำที่ใช้ปกติในชีวิตประจำวันในรูปแบบคำพูดด้วยความนับถือเหมือนกับคำว่า “ท่าน” หรือ “คุณ” โดยไม่มีสิ่งบ่งชี้ถึงความเป็นพระเจ้า พวกฟาริสีใช้ kyrios กับปอนทิอัสปีลาต (มัทธิว 27:63)[25] หญิงชาวสะมาเรียใช้คำนี้กับพระเยซูก่อนจะรู้ว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ (ยอห์น 4:11)[26] ชาวกรีกบางคนใช้คำนี้กับฟีลิป (ยอห์น 12:21) นายคุกชาวฟีลิปปีใช้คำนี้กับเปาโลและสิลาส (กิจการ 16:30) ยอห์นใช้กับคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโส 24 คนในนิมิตแห่งสวรรค์ (วิวรณ์ 7:14)
ในพระคัมภีร์เดิมภาษากรีก (ฉบับ LXX) นางซาราห์ใช้ kyrios กับอับราฮัม (ปฐมกาล 18:12)[27] เธอไม่ได้พูดภาษากรีกกับสามีของเธอแน่นอน ประเด็นอยู่ที่ว่า ผู้แปลชาวยิวของฉบับ LXX (ซึ่งมีมาก่อนคริสต์ศาสนา) ได้ใช้ kyrios กับมนุษย์โดยไม่ลังเล ในหนังสือปฐมกาลเพียงเล่มเดียว มีการใช้ kyrios โดยเอโฟรน คนฮิตไทต์ (ใช้กับอับราฮัม, 23:11), โดยเรเบคาห์ (ใช้กับคนใช้ของอับราฮัม, 24:18),[28] โดยราเชล (ใช้กับบิดาของเธอ, 31:35),[29] โดยยาโคบ (ใช้กับเอซาว, 33:13), โดยพี่น้องของโยเซฟ (ใช้กับโยเซฟ, 42:10),[30] โดยยูดาห์ (ใช้กับโยเซฟ, 44:16) และโยเซฟ (ใช้กับตัวเขาเอง, 45:8)
เพราะพระเยซูทรงเชื่อฟังพระบิดาของพระองค์จนถึงความตาย พระเจ้าจึงทรงพอพระทัยที่จะยกย่องพระองค์ขึ้นในระดับสูงสุดจน “ทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้า เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา” (ฟีลิปปี 2:11) การเป็นองค์เจ้านายนี้ไม่ได้เทียบเท่ากับพระเจ้าที่กล่าวถึงแต่อย่างใด ตรงนี้เปาโลพูดถึงการที่พระเยซูทรงได้รับการยกย่องจากพระเจ้า เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า การยอมรับว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์ผู้เป็นเจ้า” ก็คือการยอมรับว่า พระยาห์เวห์ทรงยกย่องพระบุตรด้วยคำเรียกนี้ เนื่องจากความจงรักภักดีและการเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อพระบิดาของพระองค์ (เรื่องนี้จะกล่าวถึงต่อไปในบทที่ 10)
เนื่องจากประเด็นเบื้องหลังเหล่านี้ของพระคัมภีร์ใหม่ เราจึงสามารถเข้าใจความหมายของการ “ร้องออกพระนามพระเยซูคริสต์องค์ผู้เป็นเจ้าของเรา” (1 โครินธ์ 1:2) ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นถ้อยคำ ที่ปรากฏเฉพาะในข้อนี้เท่านั้นจากพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม เมื่อพิจารณาถึงการยกย่องพระคริสต์ใน ฟีลิปปี 2:9-11 ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าคำกล่าวนี้ไม่ได้ปรากฏบ่อยกว่าที่เป็นอยู่ แม้แต่สิ่งที่คล้ายคลึงกันก็มีน้อยและส่วนใหญ่จะพบในกิจการ (ข้อต่อไปนี้มาจากฉบับ ESV)
กิจการ 9:14 และที่นี่ (เซาโล) ได้สิทธิอำนาจจากพวกหัวหน้าปุโรหิตให้มาจับทุกคน ที่ร้องออกพระนามของพระองค์
กิจการ 9:21 และทุกคนที่ได้ยิน (เซาโล) ก็ประหลาดใจพูดกันว่า “คนนี้ไม่ใช่หรือที่ทำร้ายผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มที่ร้องออกพระนามนี้?”
กิจการ 22:16 และบัดนี้ท่านรีรออยู่ทำไม? จงลุกขึ้นและรับบัพติศมา และชำระล้างบาปทั้งหลายของท่าน โดยร้องออกพระนามของพระองค์
พระเยซูทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า (โคโลสี 1:15) และเป็นผู้มีอำนาจเต็มและตัวแทนของพระยาห์เวห์ เป็นผู้เสด็จมาในพระนามของพระยาห์เวห์ การร้องออกพระนามของพระเยซูผู้ทรงได้รับการยกย่องและการถวายเกียรติก็คือการร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์ ผู้ทรงส่งพระองค์มาและสถิตอยู่ในพระองค์ ในทำนองเดียวกันกับการร้องออก “พระนามขององค์ผู้เป็นเจ้า” ในโรม 10:13 (ข้ออ้างอิงจากโยเอล 2:32) อาจหมายถึงการร้องออกพระนามของพระเยซูที่เราก็ร้องออก พระนามของพระยาห์เวห์โดยทางพระองค์นั้น
เราสามารถอธิษฐานโดยตรงต่อพระเจ้าพระบิดา
เมื่อยังเป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพอยู่นั้น เราได้นมัสการและอธิษฐานต่อพระเยซู บางครั้งเราจะอธิษฐานต่อ “พระบิดา” ที่ไม่ระบุชื่อของตรีเอกานุภาพ แต่จากนั้นก็จะอธิษฐานในพระนามของพระเยซูเสมอด้วยความเชื่อว่าเราไม่สามารถจะอธิษฐานต่อพระบิดาได้เว้นแต่โดยผ่านพระบุตร การที่เราไม่สนใจพระบิดาไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนก็เพราะเรามีพระเยซูที่ถือว่าเป็นพระเจ้า เราจึงไม่ได้รู้สึกว่าเราจะเข้าถึงพระเจ้าไม่ได้ แต่เมื่อพระเจ้าได้ทรงเริ่มเปิดตาของผมด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ให้มองเห็นจากพระคัมภีร์ในมุมมองที่น่าอัศจรรย์ของความเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ผมรู้สึกประหลาดใจที่เมื่อมองพระคัมภีร์ใหม่อีกครั้งแล้วพบว่า คริสตจักรของพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้นมัสการหรืออธิษฐานต่อพระเยซู เหมือนเราที่เป็นผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพได้ทำ ตามการบันทึกของพระคัมภีร์ใหม่นั้นไม่มีคำอธิษฐานต่อพระเยซู แม้บรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจะถือว่าคำอุทานในกิจการ 7:59 และวิวรณ์ 22:20 เป็นคำอธิษฐานก็ตาม แต่นั่นจะเป็นไปได้ก็โดยขยายคำนิยามของการอธิษฐานให้รวมถึงทุกคำอุทานที่เป็นประโยคเดียวกับพระเยซู
หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์และมีการเทของพระวิญญาณลงมายังคริสตจักรในวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์นั้น คำอธิษฐานของผู้เชื่อในยุคแรกๆได้ทูลกับพระเจ้า (พระยาห์เวห์) ในขณะที่พระเยซูทรงถูกกล่าวถึงว่าเป็น “ผู้รับใช้” ของพระองค์ (pais, เช่น กิจการ 3:13, 26; 4:27, 30)[31] ในส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์ใหม่ก็ไม่ได้ทิ้งการอธิษฐานต่อพระเจ้าเท่านั้น แม้ว่าจะมีการกล่าวในฟีลิปปี 2:10 (“เพราะพระนามของพระเยซูนั้น ทุกหัวเข่าจะคุกลงกราบพระองค์”) เปาโลก็กล่าวว่า “เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา” (เอเฟซัส 3:14)
ผู้เขียนสดุดีได้อธิษฐานโดยตรงต่อพระยาห์เวห์
สดุดีคือการรวม 150 เพลงที่เป็นคำอธิษฐานและคำสรรเสริญพระยาห์เวห์ ใครที่อ่านสดุดีก็จะรู้ว่าผู้เขียนสดุดีมักจะยอมรับว่า พระยาห์เวห์ทรงสดับฟังและตอบคำอธิษฐานของพวกเขา และด้วยเหตุนี้จึงมีการสรรเสริญและการขอบพระคุณพระองค์อย่างมากมาย
บรรดาคริสเตียนที่ยืนกรานว่า เราไม่สามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้ ถ้าไม่ได้อธิษฐานในพระนามของพระเยซูนั้น อาจต้องอธิบายให้เราฟังว่า ทำไมสดุดีจึงไม่มีการอ้างอิงถึงพระเยซู หรือมีความจำเป็นต้องผ่านคนกลางที่จะทำให้การสื่อสารกับพระยาห์เวห์เป็นไปได้โดยตรงและอย่างวิเศษ ดังที่พบในสดุดีบทต่างๆ นี่แทบไม่ใช่เรื่องของข้อเชื่อแม้แต่น้อย แต่เป็นเรื่องของการสร้างอุปสรรคฝ่ายวิญญาณในชีวิตของคนทั้งหลายมากกว่า จากวิธีที่คริสเตียนบางคนอธิบายถึงการอธิษฐานนั้น มีคนเข้าใจว่าก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมา ทุกคนสามารถอธิษฐานโดยตรงกับพระยาห์เวห์ แต่หลังจากที่พระเยซูเสด็จมา การอธิษฐานโดยตรงกับพระยาห์เวห์ก็ถูกตัดไป แม้แต่ประชากรของพระเจ้าก็จำเป็นต้องอธิษฐานในพระนามของพระเยซู
เหตุใดในพระคัมภีร์เดิม ทุกคนจึงสามารถอธิษฐานได้โดยตรงกับพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้สูงสุด แต่สิ่งนี้ตามที่เห็นไม่เป็นที่ยอมรับหลังจากที่พระเยซูเสด็จมา? ในพระคัมภีร์เดิมนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้ายังทรงเต็มพระทัยที่จะตอบคำอธิษฐานของคนต่างชาติที่ไม่ได้เป็นคนของอิสราเอลด้วยซ้ำ
เมื่อคนต่างชาติที่ไม่ใช่อิสราเอลประชากรของพระองค์ มาจากแดนไกลเพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ (เพราะพวกเขาจะได้ยินพระนามยิ่งใหญ่ของพระองค์ และพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์) เมื่อเขามาและอธิษฐานต่อพระนิเวศนี้ ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์ที่ประทับของพระองค์ และขอทรงทำตามทุกสิ่งที่คนต่างชาติทูลขอพระองค์ (1 พงศ์กษัตริย์ 8:41-43 ฉบับ ESV)
นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยตอนในพระคัมภีร์เดิมที่กล่าวถึงความเมตตาของพระเจ้าต่อผู้ที่อธิษฐานโดยตรงต่อพระองค์โดยไม่มีคนกลาง ใครก็ตามที่คุ้นเคยอย่างผิวเผินกับพระคัมภีร์จะรู้ว่าคนที่ทุกข์ใจหรือเจออันตรายก็สามารถร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ได้โดยตรง พระยาห์เวห์พระผู้สร้างของเราจะทรงทำหูทวนลมกับผู้ที่พระองค์ทรงสร้างหรือ เมื่อพวกเขาทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์อย่างจริงใจ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้รู้จักพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา? อันที่จริงสดุดี 36:7 พูดถึงความรักที่มากมายของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทุกคนว่า “บุตรทั้งหลายของมนุษย์เข้าลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์”
ความเมตตาสงสารของพระเจ้ายังมีให้เห็นในเรื่องราวชีวิตจริงเป็นพันๆ เรื่องที่ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ มีคนจำนวนมากเป็นพยานถึงการที่พระเจ้าทรงช่วยกู้พวกเขาให้รอดพ้นจากภัยอันตรายเมื่อพวกเขาร้องเรียกพระองค์ทั้งๆที่ไม่รู้จักพระองค์ ผมมีหนังสือหลายเล่มบนชั้นหนังสือของผมที่เล่าว่าพระเจ้าได้ทรงช่วยคนที่ร้องทูลพระองค์ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อ้างว่าเป็นคริสเตียนก็ตาม
ในส่วนท้ายนี้ มีบางข้อในสดุดีที่ผู้เขียนอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์โดยตรง โดยไม่ได้เอ่ยพระนามของพระเยซูหรือว่าคนกลาง และพระยาห์เวห์ก็ทรงสดับฟังคำอธิษฐานของพวกเขาบ่อยครั้ง (ทุกข้อมาจากฉบับ ESV โดยใช้คำ “พระยาห์เวห์” ตามต้นฉบับภาษาฮีบรูดังเดิม)[32]
สดุดี 6:9 พระยาห์เวห์ได้ทรงฟังคำวิงวอนของข้า พระยาห์เวห์ทรงรับคำอธิษฐานของข้า
สดุดี 39:12 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์ ขออย่าทรงเมินเฉยต่อน้ำตาของข้าพระองค์ (เปรียบเทียบ 17:1; 84:8; 86:6; 102:1; 143:1)
สดุดี 69:13 ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่ส่วนข้าพระองค์ ข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ในเวลาอันเหมาะสม โดยความรักมั่นคงอันเหลือล้นของพระองค์ ขอทรงตอบข้าพระองค์โดยการช่วยกู้อย่างสัตย์ซื่อของพระองค์
สดุดี 88:13 ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่ข้าพระองค์ทูล ต่อพระองค์ ในเวลาเช้า คำอธิษฐานของข้าพระองค์อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
สดุดี 116:4 แล้วข้าพเจ้าก็ร้องทูลออกพระนามพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์อธิษฐาน ขอทรงช่วยจิตวิญญาณของข้าพระองค์เถิด!”
สดุดี 118:25 ข้าแต่พระยาห์เวห์! เราอธิษฐาน ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอดเถิด ข้าแต่พระยาห์เวห์ เราอธิษฐาน ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด!
อธิษฐานโดยตรงต่อพระบิดาของเรา
พระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้เลิกล้มการสื่อสารโดยตรงแบบตัวต่อตัวระหว่างเรากับพระเจ้า แม้ “พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์” (1 ทิโมธี 2:5)[33] ทรงเป็นผู้กลางระหว่างเรากับพระเจ้า แต่งานการเป็นคนกลางของพระองค์เสร็จสิ้นลงเมื่อพระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) แล้วม่านในพระวิหารก็ฉีกขาดออกเป็นสองท่อน (มัทธิว 27: 51; มาระโก 15:38; ลูกา 23: 45) แต่บัดนี้พระเยซู “ทรงทำให้เราได้คืนดี (แอริสต์)[34] โดยความตายของพระกายเนื้อหนังของพระองค์” (โคโลสี 1:22), เพราะพระเจ้าผู้สถิตอยู่ในพระคริสต์ทรงทำให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์เอง (2 โครินธ์ 5:19 นั่นคือ คืนดีกับพระเจ้าพระบิดา ดังที่เห็นในข้อ 18) และเมื่อเราได้คืนดีกับพระบิดาแล้ว ตอนนี้เราจึงสามารถอธิษฐานต่อพระองค์ได้โดยตรง! หรือเราจะยืนกรานว่า การคืนดีกับพระเจ้าพระบิดาของเรานั้นเป็นเพียงบางส่วนและไม่สมบูรณ์ไหม? หรือมาพร้อมกับเงื่อนไขและข้อจำกัดที่ขัดขวางการสื่อสารโดยตรงกับพระองค์โดยไม่มีคนกลาง?
ใครก็ตามที่ใส่ใจเรื่องการอธิษฐานก็จะมีใจเหมือนสาวกคนที่ทูลพระเยซูว่า “องค์ผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน เหมือนที่ยอห์นสอนสาวกของเขา” (ลูกา 11:1) แล้วพระเยซูตรัสว่า “เมื่ออธิษฐาน จงกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ...’” คำอธิษฐานนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในคริสตจักรจนมักจะเรียกกันว่า “แบบอย่างของการอธิษฐาน” หรือ “คำอธิษฐานตามแบบพระเยซู” และใช้ท่องเป็นประจำในบางคริสตจักร ต่อไปนี้คือคำอธิบายเกี่ยวกับการอธิษฐานจากมัทธิว
จงอธิษฐานดังนี้ว่า “พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จบนแผ่นดินโลกเหมือนในสวรรค์ ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ในวันนี้ และขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน[35]และขออย่านำข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าไปในการทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้าย” (มัทธิว 6:9-13, ฉบับ ESV)
เราสังเกตเห็นสองสิ่งจากพระคัมภีร์ตอนนี้ และสิ่งนี้แสดงให้เห็นช่องว่างที่กว้างมากระหว่างแนวความคิดแบบดั้งเดิมในการอธิษฐานกับสิ่งที่พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับการอธิษฐาน ประการแรกกับคำถามที่ว่าเราควรจะอธิษฐานอย่างไรนั้น จะพบคำตอบในถ้อยคำที่มีอานุภาพว่า “พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย” เราอธิษฐานโดยตรงต่อพระบิดา ไม่ใช่ต่อพระเยซู เรายังเห็นสิ่งนี้ได้ในคำนำคำอธิษฐานของพระเยซูในมัทธิว 6:6 ที่พระเยซูทรงชี้นำเราให้อธิษฐานต่อพระบิดาว่า “แต่เมื่อพวกท่านอธิษฐาน จงเข้าในห้องชั้นในและปิดประตู แล้วจงอธิษฐานต่อพระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของพวกท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”
ไม่มีแม้แต่ตัวอย่างเดียวที่อธิษฐานต่อพระเยซูในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เว้นแต่ว่าเราจะขยายคำนิยามของคำอธิษฐานให้รวมถึงคำอุทานในกิจการ 7:59-60 และวิวรณ์ 22:20[36] ซึ่งสั้นมากและรวมแล้วมีเพียง 17 คำเท่านั้นในภาษากรีก ที่ยังน้อยกว่าในข้อพระคัมภีร์ทั่วไป (เช่น ยอห์น 3:16 ที่รู้จักกันดีก็ยังมีคำในภาษากรีก 25 คำ) การที่ไม่มีคำอธิษฐานต่อพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่นั้น เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวแทบจะไม่แปลกใจเลย เพราะคำอธิษฐานต่างๆนั้นถูกจำกัดวงว่าเป็นการทูลต่อพระเจ้า ในขณะที่พระเยซูไม่ใช่พระเจ้า[37]
ประการที่สอง คำอธิษฐานตามแบบพระเยซูไม่ได้จบลงตามแบบฉบบับด้วยคำว่า “เราอธิษฐานทูลขอสิ่งนี้ในพระนามของพระเยซู เอเมน” ซึ่งเป็นสูตรในการอธิษฐานที่คริสเตียนปฏิบัติกันทั่วไป แต่จะไม่พบที่ไหนเลยในพระคัมภีร์!
การสอนเราให้ทูลต่อพระเจ้าที่ทรงเป็นพระบิดานั้น พระเยซูทรงเมตตาถือว่าเราอยู่ในระดับเดียวกับพระองค์ในแง่ของลำดับเครือญาติ พระเยซูตรัสถึงพระเจ้าว่าเป็น “พระบิดาของเราและ พระบิดาของพวกท่าน พระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” (ยอห์น 20:17)[38] ซึ่งหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นพี่น้องของเราและมีพระบิดาองค์เดียวกันกับเรา ในประโยคเดียวกันนี้ พระเยซูทรงกล่าวอย่างชัดเจนถึงสาวกของพระองค์ว่าเป็น “พี่น้องของเรา”
พระเยซูทรงอธิษฐานโดยตรงต่อพระเจ้าและพระบิดาของพระองค์อย่างไร เราก็ต้องอธิษฐานโดยตรงต่อพระเจ้าและพระบิดาของเราอย่างนั้น ในครอบครัวๆหนึ่งนั้น พวกน้องๆจำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตจากพี่ชายคนโตทุกครั้งเพื่อจะเข้าไปหาบิดาของพวกเขาไหม? พวกเขาจะพูดกับบิดาว่า “ตอนนี้ลูกๆเข้ามาหาคุณพ่อในนามของพี่ชาย” ไหม? ดูเหมือนเราจะลืมว่าเราได้ “บังเกิดจากพระเจ้า” (1 ยอห์น 3:9; 4:7; 5:1, 4, 18)[39] 1 ยอห์น 5:18[40]กล่าวว่าเรา “เกิดจากพระเจ้า” และพระเยซูก็ทรง “บังเกิดจากพระเจ้า” ในประโยคเดียวกัน!
พระเยซูทรงเป็นผู้กลางของเรา และเป็นทางเดียวเท่านั้นที่ไปถึงพระบิดา (ยอห์น 14:6) แต่หลังจากงานของพระองค์ในการช่วยให้รอดและการคืนดีได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ในเวลานี้เราจึงเข้าถึงพระบิดาได้โดยตรง หลังจากที่เราได้คืนดีกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว เราจะยังคงถูกบังคับให้กล่าวว่า “ในพระนามของพระเยซู” ทุกๆครั้งที่เราสื่อสารกับพระบิดาของเราไหม? อันที่จริงแล้ว คำอุทานว่า “อับบา! พระบิดา” (โรม 8:15; กาลาเทีย 4:6)[41] เป็นการพูดโดยตรงกับพระบิดา
แต่บรรดาคริสเตียนทำเรื่องนี้ให้กลับกัน โดยที่ไม่ได้ตระหนักว่าเดิมทีพระเจ้าเป็นผู้ทรงส่งพระเยซูมาเพื่อทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าเอง ในท้ายที่สุดแล้ว งานการทำให้คืนดีนั้น ไม่ได้กระทำโดยพระคริสต์ แต่พระเจ้าทรงทำผ่านทางพระคริสต์และทำในพระคริสต์มากกว่า (2 โครินธ์ 5:18-19)[42]
การอธิษฐานร้องขอโดยตรง
การหยุดยั้งการสื่อสารโดยตรงกับพระบิดาด้วยการกำหนดเงื่อนไขที่จะพูดว่า “ในพระนามของพระเยซู” นั้นก็เป็นผลอีกอย่างจากความผิดพลาดของความเชื่อตรีเอกานุภาพในการกีดกันพระบิดาออกไปโดยการทำให้พระคริสต์เป็นจุดศูนย์รวมของความเชื่อที่มี “พระคริสต์เป็นศูนย์กลาง”
มีหลักฐานจากพระคัมภีร์ที่ไหนบ้างที่บอกว่า เราไม่สามารถจะเข้าถึงพระบิดาได้นอกจากจะเข้ามาในพระนามของพระเยซู? ทำไมพระเยซูเองจึงทรงสอนเราให้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์”? ผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพบางคนที่เพียรพยายามที่จะหาข้อจำกัด มากขึ้น จะชี้ไปที่ยอห์น 15:16 ซึ่งพระเยซูตรัสว่า “เมื่อพวกท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน” เมื่อบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพยกอ้างข้อนี้ ก็มักจะมีความหมายโดยนัยว่า พระบิดาจะไม่ได้ยินคำร้องขอของเรา เว้นแต่จะรับรองทางวาจาด้วยสิทธิอำนาจของพระเยซู การตีความนี้ค้านกับสิ่งที่พระเยซูเองตรัสเกี่ยวกับการที่พระบิดาทรงมีความเกี่ยวข้องกับบรรดาบุตรของพระองค์ว่า “ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่ลูกของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะประทานสิ่งดีแก่ผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์?” (มัทธิว 7:11; เปรียบเทียบลูกา 11:13) จงสังเกตถ้อยคำที่มีอานุภาพว่า “พระบิดาของท่าน” และ “ทูลขอต่อพระองค์” และ “ยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร” พระบิดาของเราในสวรรค์ทรงเต็มพระทัยที่จะประทานสิ่งดีแก่เรามากยิ่งกว่าบิดาของเราในโลกนี้ยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร! แต่ในสถานการณ์ของความเชื่อในตรีเอกานุภาพก็คือ บุตรมีโอกาสจะเข้าไปหาบิดาของเขาในโลกได้โดยตรงมากกว่าบุตรของพระเจ้าที่มีความเกี่ยวข้องกับพระบิดาในสวรรค์ของเขา!
สองข้อที่เป็นการขอต่อพระบิดาโดยตรงนี้ (มัทธิว 7:11; ลูกา 11:13) ปรากฏหลังจากคำอธิษฐานตามแบบพระเยซู (มัทธิว 6:9-13; ลูกา 11:2-4) ซึ่งสังเกตได้ว่ากล่าวกับพระบิดาโดยตรง (“ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ” หรือในลูกาที่กล่าวธรรมดาๆว่า “ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ”) แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าไม่มีสูตรตามธรรมเนียมว่า “เราอธิษฐานในพระนามของพระเยซู อาเมน”
พระคัมภีร์สองตอนที่อยู่ล้อมรอบคือมัทธิว 7:7-8 และลูกา 11:9-10 เผยให้เห็นหลักการสามประการของการขอ (เพื่อจะได้รับ) การแสวงหา (เพื่อที่จะพบ) และการเคาะ (เพื่อประตูจะเปิดออก) ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับพระบิดา ไม่ใช่กับพระเยซูคริสต์
พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน” (ยอห์น 16:27) ซึ่งเป็นถ้อยคำสวยงามที่สะท้อนอยู่ในคำตรัสของพระองค์ต่อพระบิดาว่า “พระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์” (17:23) เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสเกี่ยวกับพระบิดาแล้ว ใครล่ะจะยังยืนกรานว่าผู้เชื่อไม่สามารถจะเข้าถึงพระบิดาได้ หรือจะทูลขอสิ่งใดกับพระองค์ได้ เว้นแต่จะได้รับการรับรองด้วยวาจาโดยพระเยซู?
ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครหรือมีสิทธิ์ที่จะทำการในพระนามของพระเยซู? คริสเตียนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตภายใต้สิทธิอำนาจของพระองคหรือไม่? คริสเตียนโดยทั่วไปที่มีความสามารถในฝ่ายวิญญาณเช่นนั้นที่เขาหรือเธอสามารถจะขอสิ่งใดหรือทำสิ่งใด “ในพระนามของพระเยซู” ได้อย่างถูกต้อง หรือไม่? เมื่อพิจารณาถึงสภาพจิตวิญญาณที่ธรรมดาของคริสเตียนส่วนใหญ่ในปัจจุบันแล้ว ทำไมพวกเขาจึงเข้าใจเอาว่า พวกเขาสามารถใช้พระนามของพระเยซูเพื่อจะได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการจากพระบิดาโดยอ้างคำกล่าวอย่างไม่ละอายว่า “ไม่ว่าพวกท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา” (ยอห์น 15:16)?[43]
ประการแรก ผู้ที่ดำเนินชีวิตแบบคริสเตียนธรรมดา แทบจะไม่ได้แสวงหาสิ่งฝ่ายวิญญาณ แต่แสวงหาสิ่งที่ตอบสนองกับประโยชน์ของพวกเขาเองอย่างเต็มที่ เราไม่เคยได้ยินคำอธิษฐานที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ตลอดเวลาหรอกหรือ? “พระเจ้า ขอทรงอวยพรข้าพระองค์ ขอให้ได้คะแนนดีๆและได้งานที่ได้ค่าตอบแทนสูงๆ” การคิดแบบนี้เป็นการเลี้ยงความเห็นแก่ตัวที่ได้คืบคลานเข้ามาในชีวิตของคริสเตียนจำนวนมาก
และเหตุใดบรรดาผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพจึงคิดว่า ข้อเดียวในยอห์นนี้จะเป็นเหตุผลที่เพียงพอกับการกล่าวรวมๆของพวกเขาว่า ไม่มีคำอธิษฐานใดที่พระเจ้าจะทรงยอมรับ เว้นแต่จะทำในพระนามของพระเยซู? ถ้าพวกเขาได้ดูบริบทของข้อนี้อย่างละเอียด พวกเขาจะเห็นว่าข้อความทั้งหมดในยอห์นบทที่ 14 ถึง 16 เป็นเรื่องเกี่ยวกับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ยอห์น 14:17, 26; 15:26; 16:13)[44] ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ได้รับ พวกสาวกต้องรอถึงวันเพ็นเทคอสต์เพื่อจะได้รับของประทานนั้น ในวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์ คริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็มได้ทูลขอของประทานแห่งพระวิญญาณต่อพระบิดาเมื่อพวกเขารวมตัวกันด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและร่วมใจกันอธิษฐานและพวกเขาก็ได้รับพระวิญญาณ (กิจการ 2:1-21)
ในเรื่องการขอพระวิญญาณนั้น ให้เราคิดถึงคำกล่าวของพระเยซูอย่างจริงจังที่ว่า “ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้สิ่งดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์” (ลูกา 11:13) ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้โดยเห็นว่าเป็นของตาย เราจะต้องทูล “พระบิดาในสวรรค์” เพื่อขอของประทานอันล้ำค่านี้ คริสตจักรในยุคแรกได้ร่วมกันอธิษฐานขอและรอคอยของประทานนี้ แต่เมื่อคริสตจักรได้รับพระวิญญาณในวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์แล้ว คริสตจักรทั้งหมดจะยังคงขอพระวิญญาณอยู่ต่อไปเรื่อยๆตลอดเวลาต่อๆมา เหมือนกับว่าพวกเขาไม่เคยได้รับพระวิญญาณเลยหรือ? จากข้อมูลพระคัมภีร์แล้ว ไม่ใช่แน่นอน หากผู้เชื่อได้อธิษฐานขอ แล้วก็ได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณ เขาจะยังต้องคอยขอของประทานแห่งพระวิญญาณ “ในพระนามของพระเยซู” อยู่เรื่อยๆไหม? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ แล้วทำไมเรายังคงอธิษฐานขอพระวิญญาณในพระนามของพระเยซู แบบขอแล้วขออีกเล่า เหมือนว่าคำอธิษฐานไม่เคยได้รับคำตอบอย่างนั้นแหละ? อันที่จริง พระวิญญาณได้ประทานให้ก็เพื่อจะอยู่กับผู้เชื่อตลอดไป (ยอห์น 14:16)[45]
แต่ก็เป็นไปได้ว่า คำอธิษฐานขอพระวิญญาณของบางคนนั้นพระเจ้าไม่เคยทรงสดับ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานให้แก่ผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้า (กิจการ 5:32)[46] อย่างไรก็ดี คริสเตียนส่วนใหญ่ก็กล่าวคำอธิษฐานที่ไม่เกี่ยวข้องกับของประทานแห่งพระวิญญาณ คริสเตียนเช่นนั้นควรสนใจสิ่งที่เปาโลกล่าวว่า ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ (โรม 8:9)[47] สิ่งที่น่าเศร้าใจกับคริสตจักรในปัจจุบันนี้ก็คือ คริสตจักรเต็มไปด้วยผู้เชื่อที่อธิษฐานในพระนามของพระเยซู แต่พวกเขาไม่ได้เป็นของพระเจ้า แล้วพวกเขาก็สงสัยว่าทำไมพระเจ้าจึงไม่ทรงได้ยินคำอธิษฐานของพวกเขาแม้ว่าจะใช้สูตร “ในพระนามของพระเยซู”
เรียนการอธิษฐานจากสดุดี
เราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางจิตวิญญาณอย่างมาก เมื่อเราใช้สดุดีเพื่อเป็นแนวทางสอนในการอธิษฐาน สดุดีเป็นหนังสือของการอธิษฐานของคนของพระเจ้า สดุดีมีหลายรูปแบบ มีสดุดีแห่งการวิงวอน สดุดีแห่งการขอบพระคุณ และสดุดีแห่งการสรรเสริญ บางคนตกใจเมื่อพวกเขาอ่านสดุดีที่อธิษฐานขอการพิพากษาของพระเจ้าอย่างรุนแรงต่อผู้ที่ใส่ร้ายป้ายสี ผู้ที่ชั่วร้าย และผู้ที่ข่มเหง เชื่อกันว่านี่ตรงกันข้ามกับใจที่ให้อภัยในพระคัมภีร์ใหม่ แต่ความเข้าใจเช่นนั้นไม่ถูกต้อง เพราะในพระคัมภีร์ใหม่มีความห่วงใยเกี่ยวกับความยุติธรรมไม่น้อยไปกว่าในพระคัมภีร์เดิมดังที่เห็นได้ในวิวรณ์ โดยเฉพาะในเรื่องของผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมาน (เปรียบเทียบความห่วงใยของเปาโลเกี่ยวกับความยุติธรรมในการลงโทษ, 2 ทิโมธี 4:14-16)[48]
คุณค่าอย่างยิ่งของสดุดีมีอยู่ในความมั่นใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพระยาห์เวห์ทรงตอบคำอธิษฐาน นั่นคือความจริงที่เป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณอย่างมากมายจากผู้เขียนสดุดี นี่เป็นการแก้ไขให้ถูกต้องที่จำเป็นอย่างมากกับความคิดของความเชื่อในตรีเอกานุภาพว่าคำอธิษฐานที่พระเจ้าจะทรงสดับนั้นจำเป็นต้องจบลงในพระนามของพระเยซู ไม่มีสูตรเช่นนั้นที่เคยกล่าวไว้ในสดุดีเลย แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดพระยาห์เวห์ที่จะทรงสดับฟังคำอธิษฐานของเรา
หนังสือสุภาษิตก็เป็นพยานถึงความจริงนี้ด้วยว่า “พระยาห์เวห์ทรงอยู่ห่างไกลจากคนอธรรม แต่ทรงได้ยินคำอธิษฐานของคนชอบธรรม” (สุภาษิต 15:29) กุญแจสำคัญในการตอบคำอธิษฐานไม่ได้เป็นเพราะสูตรของความเชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่เป็นเพราะความชอบธรรม ความคิดที่ว่าพระเจ้าทรงฟังเราเพราะเราพูด “ในพระนามของพระเยซู” เป็นสูตรในการอธิษฐานนั้น เป็นหนึ่งในหลายข้อผิดพลาดที่เราได้รับมาจากเบื้องหลังความเชื่อในตรีเอกานุภาพของเรา แต่ในสดุดีและเล่มอื่นๆของพระคัมภีร์นั้น เงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีเพื่อจะให้คำอธิษฐานได้รับคำตอบก็คือความชอบธรรม และโดยพระคุณของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงทำให้เราชอบธรรมในพระคริสต์
“ในนามของเรา”
ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม คำว่า “ในนามของเรา” ที่เกี่ยวข้องกับการขอบางสิ่งจากพระเจ้านั้นมีปรากฏเฉพาะในยอห์นบทที่ 14 ถึง 16 เท่านั้น ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในสามบทนี้ จะมีคำว่า “ในนามของเรา” ปรากฏ 7 ครั้ง (ยอห์น 14:13, 14, 26; 15:16; 16:23, 24, 26) และนี่คือยอห์น 16:23
In that day you will ask nothing of me. Truly, truly, I say to you, whatever you ask of the Father in my name, he will give it to you.
(ในวันนั้นพวกท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน)
คำว่า “ask” ที่ปรากฏสองครั้งในข้อนี้แสดงให้เห็นคำภาษากรีกสองคำที่แตกต่างกัน คำแรกคือ “ถาม” (erōtaō) ซึ่งมักจะเกี่ยวกับการถามคำถาม[49] คำที่สองคือ “ขอ” (aiteō) ซึ่งมักจะเกี่ยวกับการขอบางสิ่ง
พวกสาวกอาจถามพระเยซูหลายคำถาม แต่เมื่อเป็นการถามเพื่อขออะไรบางอย่าง พระเยซูก็จะทรงชี้แนะพวกเขาไปที่พระบิดา ไม่ใช่มาที่พระองค์เอง (ด้วยข้อยกเว้นเดียวที่เป็นไปได้ ซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง) ในทำนองเดียวกัน มัทธิว 7:11 ก็สอนเราให้ทูลคำขอของเราไปยังพระบิดาโดยตรง ดังที่ ว่า “ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็จะประทานสิ่งดีแก่พวกที่ขอต่อพระองค์”
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา” นั้น พระองค์ไม่ได้หมายถึงสิ่งของต่างๆ เช่น รถยนต์และบ้าน เหมือนนักเทศน์ที่สอนเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวยชอบเสนอแนะ คำว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใด” มีเงื่อนไขด้วยคำว่า “ในนามของเรา” และนามของพระองค์คืออะไรหรือ? นามของพระองค์ไม่ใช่ “พระเจ้า” ซึ่งไม่ใช่นามแต่อย่างใด แต่เป็นคำที่อธิบาย นามของพระองค์คือเยซู ซึ่งหมายถึง “พระยาห์เวห์ทรงช่วยให้รอด” หรือ “พระยาห์เวห์ทรงเป็นความรอด” ในขณะที่ พระคริสต์หมายถึงพระเมสสิยาห์ผู้เป็นกษัตริย์ที่ได้รับการเจิมของพระยาห์เวห์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก ในที่นี้เราเห็นแนวความคิดเกี่ยวกับความรอด ซึ่งบอกว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใด” ส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวข้องกับความรอด
เนื่องจากส่วนทั้งหมดในยอห์น 14 ถึง 16 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระวิญญาณที่เรียกว่า “ผู้ปลอบประโลมใจ” (ยอห์น 14:16) ดังนั้นคำว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใด” จึงเกี่ยวข้องกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสำหรับความรอดในยุคหลังจากที่พระเยซูเสด็จจากไปเมื่อพันธกิจบนโลกนี้ของพระองค์เสร็จสิ้นสมบูรณ์ หลังจากนั้นทุกสิ่งก็อยู่ภายใต้การดูแลโดยพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ที่ทำงานอยู่ในคริสตจักร พระเยซูกำลังทรงบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่า พวกเขาสามารถได้รับสิ่งที่พวกเขาจำเป็นในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณโดยการขอพระวิญญาณจากพระบิดาในพระนามและสิทธิอำนาจของพระองค์ และเมื่อได้รับของประทานนั้นในวันเพ็นเทคอสต์ เหล่าสาวกก็ได้ประกาศเรื่องความรอดแก่บรรดาประชาชาติ
พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวยิว แต่ในพระคัมภีร์เดิมนั้น พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตอยู่ในคนทั้งหลาย แม้แต่ผู้เผยพระวจนะและผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่ถูกอธิบายให้เห็นว่า “เสด็จมาเหนือ” คนทั้งหลาย (เช่น มาเหนือยาฮาซีเอล ผู้ที่เผยพระวจนะต่อหน้ากษัตริย์เยโฮชาฟัท, 2 พงศาวดาร 20:14)[50] ทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติภารกิจที่พระยาห์เวห์ทรงใช้ให้พวกเขาไปทำได้สำเร็จ
สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อพระเยซูเสด็จมาและตั้งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งพระวิญญาณของพระยาห์เวห์มีบทบาทสำคัญ เรื่องนี้ได้มีการเผยพระวจนะไว้ในโยเอล 2:8-32 (“เราจะเทวิญญาณของเรามาเหนือมนุษย์ทุกคน” ข้อ 28) และเป็นจริงในกิจการ 2:16-22 พระวิญญาณได้ถูกเทลงมา แต่เรายังคงต้องทูลขอพระวิญญาณกับพระบิดา (ลูกา 11:13)[51] เราจะไม่ได้รับพระวิญญาณจนกว่าพระเยซูจะทรงได้รับเกียรติในการสิ้นพระชนม์ การฟื้นคืนพระชนม์ และการเสด็จสู่สวรรค์ (ยอห์น 7:39)[52] ความจริงข้อนี้เมื่อรวมกับลูกา 11:13 ทำให้สิ่งที่พระเยซูทรงสอนเกี่ยวกับพระวิญญาณกระจ่างชัดมาก
สาระสำคัญในสามบทนี้จากยอห์นบทที่ 14 ถึง 16 คือการอยู่ในกันและกันซึ่งสำคัญมากกับยอห์น 15 และเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินชีวิตภายใต้พันธสัญญาใหม่ การอยู่ในกันและกันจะเห็นได้ในยอห์น 15:4 (“จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน”) ในยอห์น 14:20 (“เราอยู่ในพระบิดา และพวกท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน”) ในยอห์น 14:10 (“เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา”) และยังมีในยอห์น 17:21[53]
ยอห์น 14:14 เป็นข้อยกเว้นในคำสอนของพระเยซูหรือไม่?
ในพระกิตติคุณยอห์น คำว่า “ในนามของเรา” มีปรากฏเฉพาะในยอห์นบทที่ 14 ถึง 16 เท่านั้นซึ่งเป็นสามบทที่พระเยซูตรัสถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งนี้บ่งชี้ว่าการขอ “ในนามของเรา” จะต้องเกี่ยวข้องกับพระวิญญาณ ในสามบทนี้ คำ “ในนามของเรา” มีปรากฏเจ็ดครั้งและมักจะเกี่ยวข้องกับการอธิษฐาน (หรือการขอ) ต่อพระบิดาเสมอ ด้วยข้อยกเว้นยอห์น 14:14 ที่เป็นไปได้แต่ไม่เด่น ชัดว่า “สิ่งใดที่พวกท่านขอจากเราในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น”
ข้อแตกต่างที่สำคัญในข้อนี้ก็คือ การขอไม่ได้มุ่งไปที่พระบิดา แต่มุ่งไปที่พระเยซูเอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากเกี่ยวกับการแปลที่จะทำให้ยอห์น 14:14 สอดคล้องกับข้ออื่นๆในยอห์นที่ “ในนามของเรา” เกี่ยวข้องกับการขอต่อพระบิดา การยอมรับตามที่ปรากฏนี้ ยอห์น 14:14 ดูไม่สอดคล้องกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงเพราะว่าข้ออื่นๆที่คล้ายคลึงกันพูดถึงการขอต่อพระบิดา แต่ยังเป็นเพราะว่า ถ้าเรากำลังขอกับพระเยซูโดยตรง แล้วจะมีเหตุอะไรที่จะต้องขอกับพระองค์ในนามของพระองค์เองด้วย? ส่วนคำว่า “เราจะทำสิ่งนั้น” ในยอห์น 14:14 นั้นควรจำไว้ว่า ในที่สุดแล้วพระบิดาทรงเป็นผู้กระทำผ่านพระเยซู ดังที่เราเห็นในสี่ข้อก่อนหน้านี้ว่า “คำซึ่งเรากล่าวกับพวกท่านนั้น เราไม่ได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค์” (ยอห์น 14:10) ดังนั้นเมื่อพระเยซูตรัสว่า “เราจะทำสิ่งนั้น” ก็เป็นพระบิดาที่ทรงทำงานผ่านพระองค์ พระเยซูไม่ทรงกระทำสิ่งใดตามใจชอบของพระองค์เอง (ยอห์น 5:19) พระองค์ไม่ทรงสามารถทำสิ่งใดตามใจของพระองค์เองได้ (5:30) และพระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์เอง (8:28) แต่ทรงทำพระราชกิจของพระบิดาของพระองค์ (14:10)
เป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจที่ยอห์น 14:14 มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับใจความ มีความไม่แน่ใจว่าคำว่า “เรา” ใน “สิ่งใดที่พวกท่านขอจากเรา” นั้นมีอยู่ในยอห์น 14:14 ในต้นฉบับเดิมภาษากรีกหรือไม่ มันไม่ปรากฏตัวอักษรกรีกที่สำคัญบางตัวอักษรที่ใช้ในต้นฉบับโบราณ[54] เช่น A D K L Q Ψ (ดูหมายเหตุเกี่ยวกับการวิจารณ์ของฉบับ NA28) ฉบับ UBS3 (หน้า 390) จัดความไม่แน่ใจไว้ที่ระดับ{B} ซึ่งบ่งชี้ว่า “มีข้อสงสัยอยู่” ระดับความสงสัยยังคงอยู่ที่ {B} ในฉบับ UBS4/UBS5
ยิ่งกว่านั้นยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทั้งข้อซึ่งบางต้นฉบับเว้นเอาไว้ ดังที่เห็นในเชิงอรรถฉบับ UBS5 ของยอห์น 14:14 (“เว้นข้อ 14 ƒ1 157 565 l 761/2 l 761/2 l 2111/2 l 10741/2 itb vgms syrs,pal arm geo”) หนังสือคู่มือของ UBS4, คู่มืออธิบายตัวบทพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีก[55] กล่าวว่า “ข้อ 14 ถูกเว้นไว้โดยพยานหลักฐานที่กระจัดกระจาย รวมถึงฉบับโบราณที่สำคัญหลายฉบับ” แม้คู่มืออธิบายจะยอมรับข้อนี้ในที่สุดว่าเป็นส่วนของข้อความต้นฉบับ
ด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกันนี้ คู่มือพระคัมภีร์ใหม่ของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล[56] (เล่มที่ 4 เกี่ยวกับยอห์น 14:14) จึงมีข้อสรุปว่าการขอมุ่งตรงไปที่พระบิดา
...ข้อนี้ [ยอห์น 14:14] ต้นฉบับภาษากรีกบางฉบับได้เว้นไว้ทั้งหมด แม้ว่าหลักฐานจะสนับสนุนการรวมกัน... ต้นฉบับบางฉบับไม่มีคำว่า “เรา” ในข้อความ “สิ่งใดที่พวกท่านขอจากเรา”... จึงสามารถสันนิษฐานได้ว่าพระบิดาเป็นผู้ที่คำอธิษฐานมุ่งไปที่พระองค์
ความไม่แน่ใจของคำว่า “เรา” ใน “สิ่งใดที่พวกท่านขอจากเรา” ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์หลายฉบับ ฉบับ ESV กล่าวในเชิงอรรถเกี่ยวกับยอห์น 14:14 ว่า “บางต้นฉบับเว้นคำว่า เรา” ฉบับ HCSB กล่าวในทำนองเดียวกันว่า “..ต้นฉบับอื่นๆเว้นคำว่า เรา” ฉบับ KJV, NKJV, RSV, REB เว้นคำว่า “เรา” แม้แต่ในตัวบทหลัก เช่นเดียวกับพระคัมภีร์ภาษาฝรั่งเศสฉบับหลุยส์ เซอกอง[57]
ยอห์น 14:14 จึงไม่ได้เป็นปัญหา การแทรกคำว่า “เรา” เข้าไปในตัวบทภาษากรีกน่าจะเป็นผล งานของผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพ หรือผู้เชื่อในตรีเอกานุภาพเริ่มแรก บางต้นฉบับต่อมาภายหลังมีคำว่า “พระบิดา” แทนคำว่า “เรา” แต่นี่อาจเป็นการเพิ่มเติมความหมายในทิศทางตรงกันข้าม อาจเป็นเพราะเพื่อให้ข้อนี้เข้ากันกับข้ออื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในยอห์นบทที่ 14 ถึง 16
พระคัมภีร์ภาษากรีกของผู้อธิบาย[58] (เล่ม 1, หน้า 824) เว้นคำว่า “เรา” ในตัวบทภาษากรีก พระคัมภีร์ฉบับนี้กล่าวถึง “ในนามของเรา” ในยอห์น 14:13 ว่า “ชื่อของบุคคล จะสามารถใช้ได้ก็เมื่อเราพยายามที่จะดำเนินการให้เป็นตามความประสงค์และตามความสนใจของบุคคลนั้นต่อไปเท่านั้น” พระเยซูทรงพยายามที่จะทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเสมอ เพราะฉะนั้นการอ้างถึงพระนามของพระเยซูจะต้องให้เป็นไปตามประสงค์ของพระบิดาเสมอ ไม่เช่นนั้นแล้ว จะเป็นการใช้พระนามในทางที่ผิดอย่างร้ายแรง
คริสเตียนจำนวนมากอ้างถึง “ในพระนามของพระเยซู” แบบเป็นสูตรวิเศษที่ใช้ในการอธิษฐานเพื่อให้พระเจ้าประทานสิ่งที่พวกเขาขอ เป็นการลดความเชื่อตามแบบของคริสเตียน มาเป็นความเชื่อโชคลางที่มีศรัทธามากซึ่งแทบจะไม่เชื่อมโยงกับคำสอนของพระคัมภีร์เลย หลักการที่ชี้นำว่าพระเยซูทรงตั้งพระทัยให้อ้างถึง “ในนามของเรา” นั้นจะเห็นได้จากข้อก่อนหน้านี้ว่า “สิ่งใดที่พวกท่านขอ [พระบิดา] ในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติทางพระบุตร” (ยอห์น 14:13) พระทัยปรารถนาของพระเยซูที่จะให้พระบิดาทรงได้รับเกียรติทางพระบุตรนั้น เป็นหลักการที่นำชีวิตและพันธกิจของพระเยซู และก็ควรเป็นหลักการของเราด้วยเช่นกัน
[1] หรือเป็นเป้าหมายของ (ผู้แปล)
[2] Tyndale Commentary
[3] Constable’s Expository Notes
[4] Expositor’s Bible Commentary
[5] พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับแก้ไข (Revised English Bible) ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นที่รู้จักในสหรัฐอเมริกานั้น เป็นพระคัมภีร์ที่ยอมรับกันในสหราชอาณาจักร โดยเป็นผลมาจากความพยายามร่วมกันของคริสตจักรแห่งอังกฤษ คริสตจักรโรมันคาทอลิกในอังกฤษและเวลส์ คริสตจักรเมโทดิสต์แห่งสหราชอาณาจักรและคริสตจักรอื่นๆ
[6] วิธีการประเมินหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เป็นการประเมินเนื้อหาของข้อมูลที่ปรากฏในหลักฐานนั้นๆ เพื่อดูว่าตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ (ผู้แปล)
[7] ฮีบรู 1:6 “เมื่อพระองค์ทรงนำพระบุตรองค์หัวปีนั้นเข้ามาในโลก ก็ตรัสว่า ให้บรรดาพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้ากราบไหว้ท่าน” (ฉบับ 1971)
[8] เมื่อเราพูดถึงการ “ไม่มีตัวตน” ของพระเยซูในสวรรค์นั้น มาจากมุมมองของคนที่อยู่บนโลก เพราะพระเยซูไม่ได้ทรงอยู่บนโลกอีกต่อไป แต่ทรงอยู่ในสวรรค์ แต่เมื่อ proskyneō ได้ใช้กับพระเยซูในสวรรค์ (วิวรณ์ 5:14) มันเป็นการมีตัวตนอยู่ของพระองค์ในสวรรค์
[9] วิวรณ์ 13:4 (2 ครั้ง); 13:8; 13:12; 13:15; 14:9; 14:11; 16:2; 19:20; 20:4
[10] ยอห์น 17:3 “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา”
[11] ยอห์น 4:23 และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์
[12] James D.G. Dunn’s Did the First Christians Worship Jesus?
[13] Hurtado นักวิชาการพระคัมภีร์ใหม่และนักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคริสเตียนในยุคแรก (ผู้แปล)
[14] New Jerusalem Bible; ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “เขาทั้งปวงก็หมอบกราบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและกษัตริย์” (ผู้แปล)
[15] แปดครั้งในพระกิตติคุณยอห์นคือ 14:13,14; 15:7,16; 16:23; 16:24 สองครั้ง; 16:26 ส่วนห้าครั้งใน 1 ยอห์นคือ 3:22; 5:14; 5:15 สองครั้ง; 5:16
[16] ใน 16 ครั้งนี้กระจายอยู่ในมัทธิว 7 ครั้ง ในลูกา 5 ครั้ง และในจดหมายของเปาโล 3 ครั้ง (เอเฟซัส 3:20, โคโลสี 1:9, ฟีลิปปี 4:6 ที่มีรากคำ aitēma เดียวกัน)
[17] มัทธิว 26:53 “เราจะทูลขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ? และพระองค์ก็จะประทานทูตสวรรค์ให้เรามากกว่าสิบสองกองพลในทันที”
[18] 2 โครินธ์ 12: 8 “เรื่องหนามนั้น ข้าพเจ้าวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า”
[19] คำกริยามีปรากฏ 35 ครั้งในลูกา-กิจการ และ 19 ครั้งในจดหมายของเปาโลในขณะที่คำนามมีปรากฏ 9 ครั้งในกิจการและ 14 ครั้งในจดหมายของเปาโล คำกริยานี้ใช้ในพระกิตติคุณสามเล่มแรก 19 ครั้ง และเป็นคำนามสองครั้งจากคำอธิษฐานของพระเยซูต่อพระบิดา รวมทั้งหมดมี 21 ครั้งในพระกิตติคุณสามเล่มแรก ไม่พบคำใดคำหนึ่งในพระกิตติคุณยอห์น
[20] 1 ทิโมธี 2:1 เพราะฉะนั้นก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด ข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้วิงวอน อธิษฐาน ทูลขอ และขอบพระคุณเพื่อทุกคน
[21] ลูกา 23:34 พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”
[22] 1 ทิโมธี 3:15 “ท่านก็จะได้รู้ว่าควรประพฤติอย่างไรภายในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์”
[23] โรม 16:16 “จงทักทายกันด้วยธรรมเนียมจูบอันบริสุทธิ์ บรรดาคริสตจักรของพระคริสต์ขอฝากคำทักทายมายังพวกท่านด้วย”
[24] กิจการ 2:36 “ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดทราบแน่นอนว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูที่ท่านทั้งหลายตรึงไว้บนกางเขนนั้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์”
[25] มัทธิว 27:63 “ท่านเจ้าเมืองขอรับ เราจำได้ว่าเมื่อคนล่อลวงนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’”
[26] ยอห์น 4:11 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตักและบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน?”
[27] ปฐมกาล 18:12 “ฉะนั้นนางซาราห์จึงหัวเราะในใจพูดว่า ข้าพเจ้าแก่แล้ว นายของข้าพเจ้าก็แก่ด้วย” (ฉบับไทยคิงเจมส์)
[28] ปฐมกาล 24:18 เธอตอบว่า “นายของดิฉัน เชิญดื่มเถิด” แล้วเธอก็รีบลดเหยือกของเธอลงมาถือไว้ และให้เขาดื่ม
[29] ปฐมกาล 31:35 ราเชลก็พูดกับบิดาว่า “ขอนายท่านอย่าโกรธเลย ที่ดิฉันลุกขึ้นต่อหน้าท่านไม่ได้”
[30] ปฐมกาล 42:10 พวกเขาจึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ไม่ใช่อย่างนั้น พวกผู้รับใช้ของท่านมาซื้ออาหาร”
[31] กิจการ 3:13 “พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา ได้ประทานพระเกียรตินี้แด่พระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ พระเยซูผู้ที่ท่านทั้งหลายมอบไว้และปฏิเสธต่อหน้าปีลาต แม้ว่าปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป”
[32] ภาษาไทยมีฉบับมาตรฐาน 2011 และฉบับอมตธรรมร่วมสมัยได้กลับมาใช้คำ “พระยาห์เวห์” ตามต้นฉบับเดิมภาษาฮีบรู (ผู้แปล)
[33] 1 ทิโมธี 2:5 “เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียวและมีคนกลางผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นมนุษย์” (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
[34] คือกาลกริยาในไวยากรณ์กรีก เป็นการกระทำที่เกิดขึ้น ณ จุดๆหนึ่งในอดีตกาล (ผู้แปล)
[35] หรือบางฉบับแปลว่า “ยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์” (ผู้แปล)
[36] กิจการ 7:59 “พระเยซูเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย”; วิวรณ์ 22:20 “อาเมน พระเยซูเจ้า เชิญเสด็จมาเถิด”
[37] หมายเหตุทางประวัติศาสตร์: “นักศาสนศาสตร์ในยุคแรกบางคนคัดค้าน [การอธิษฐานต่อพระเยซู] ออริเกนเป็นคนหนึ่งในนั้น เขาโต้แย้งว่าแม้จะเป็นเรื่องถูกต้องที่จะร้องขอและขอบคุณต่อธรรมิกชนหรือแม้แต่มนุษย์ธรรมดา การอธิษฐานในความหมายที่ถูกต้องก็คือการร้องขอต่อพระเจ้าในสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถประทานให้ได้ที่รวมกับการสรรเสริญนั้น อาจร้องทูลต่อพระเจ้าพระบิดาเท่านั้น (เรื่องการอธิษฐาน, 14-16) ... พระเยซูไม่สามารถจะเป็นเป้าหมายของการอธิษฐานเช่นนั้นได้ เพราะว่าตัวพระองค์เองก็ได้ทรงถวายคำอธิษฐานในช่วงชีวิตที่พระองค์ทรงอยู่ในโลก... บางทีเนื่องจากผลของการคำวิจารณ์ เช่น ของออริเกน จึงไม่มีหลักฐานมากนักจากศตวรรษต่อๆมาของคริสต์ศาสนาในยุคแรกเกี่ยวกับการอธิษฐาน ที่มุ่งไปที่พระเยซูในพิธีบัพติศมาและพิธีศีลมหาสนิท” (พระเยซูในปัจจุบันและในสมัยพระคัมภีร์, ริชาร์ด เบอร์ริดจ์ และ เกรแฮม กูลด์, หน้า 148)
[38] ยอห์น 20:17 พระเยซูตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเราและบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน”
[39] 1 ยอห์น 4:7 “เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า ทุกคนที่รักก็เกิดจากพระเจ้าและรู้จักพระเจ้า”
[40] 1 ยอห์น 5:18 เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองรักษาเขา..
[41] โรม 8:15 แต่พระวิญญาณจะทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้นเราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)”
[42] 2 โครินธ์ 5:18 สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์
[43] ยอห์น 15:16 “สิ่งใดที่พวกท่านทูลขอในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่พวกท่าน”
[44] ยอห์น 16:13 “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น”
[45] ยอห์น 14:16 “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป”
[46] กิจการ 5:32 “เราคือพยานของเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าประทานกับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ก็เป็นพยานด้วย”
[47] โรม 8:9 “ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่านแล้ว ท่านก็ไม่อยู่ในเนื้อหนัง แต่อยู่ในพระวิญญาณ ใครไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ คนนั้นก็ไม่เป็นของพระองค์”
[48] 2 ทิโมธี 4:14-16 “อเล็กซานเดอร์ช่างทองแดงคนนั้นทำร้ายข้าพเจ้าอย่างมากมาย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษเขาให้สมกับการกระทำของเขา ท่านจงระวังเขาให้ดีด้วย เพราะเขาคัดค้านคำสอนของเราอย่างรุนแรงในการแก้คดีเบื้องต้นของข้าพเจ้านั้น ไม่มีใครอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าสักคนเดียว พวกเขาทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ขออย่าให้พวกเขาต้องรับโทษเลย”
[49] บางครั้งอาจหมายถึงการขออะไรบางอย่าง เช่น ในยอห์น 14:16; 16:26; 17:9 แต่ในกรณีเหล่านี้ เป็นพระเยซูที่ทูลขอพระบิดา
[50] 2 พงศาวดาร 20:14 “และในท่ามกลางที่ประชุมนั้น พระวิญญาณของพระยาห์เวห์เสด็จมาเหนือยาฮาซีเอลบุตรเศคาริยาห์”
[51] ลูกา 11:13 “เพราะฉะนั้น ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้สิ่งดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์”
[52] ยอห์น 7:39 “สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งคนที่วางใจพระองค์จะได้รับ เพราะว่าพระวิญญาณยังไม่สถิตด้วย เพราะพระเยซูยังไม่ได้รับพระเกียรติ”
[53] ยอห์น 17:21 “เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์ผู้เป็นพระบิดาสถิตในข้าพระองค์และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในพระองค์และในข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา”
[54] ที่ใช้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 และไม่ค่อยใช้หลังจากศตวรรษที่ 10 (ผู้แปล)
[55] UBS4’s companion volume, A Textual Commentary on the Greek NT
[56] United Bible Societies NT Handbooks
[57] French Louis Segond Bible
[58] The Expositor’s Greek Testament

